แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำหน่ายกัญชาดังกล่าวส่วนหนึ่งแก่ผู้ล่อซื้อ จำเลย ให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงฟังได้ดังฟ้องของโจทก์ จำเลย จะมาโต้เถียงในชั้นฎีกาว่ากัญชาของกลางมิใช่ของจำเลย และไม่เคยมีผู้ล่อซื้อกัญชาจากจำเลยหาได้ไม่ เพราะเป็นการ โต้เถียงข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การรับสารภาพแล้ว ทั้งยังเป็น การยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นฎีกา ซึ่งเป็นปัญหาที่ มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ อีกด้วย ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 15
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีกัญชาแห้ง อันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 จำนวน 1 แท่ง และ 3 ถุง น้ำหนักรวม 956.620 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยมิได้รับอนุญาต และจำหน่ายกัญชาดังกล่าวบางส่วนแก่ผู้ล่อซื้อ 2 ถุง ราคา 200 บาท โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 26, 75, 76, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ริบของกลางและคืนธนบัตรของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง 75 วรรคหนึ่ง76 วรรคสอง 102 ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายกัญชาจำคุกกระทงละ 2 ปี ปรับกระทงละ 20,000 บาท รวมจำคุก 4 ปีปรับ 40,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปีปรับ 20,000 บาท โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด 2 ปีให้คุมความประพฤติจำเลย โดยให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน ต่อครั้ง ใน 1 ปี ให้กระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรมีกำหนด 72 ชั่วโมง ห้ามเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษทุกชนิดและห้ามคบค้าสมาคมกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษทุกชนิดริบของกลางและคืนธนบัตรของกลางแก่เจ้าของ ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานหนักและไม่รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รอการลงโทษไม่ลงโทษปรับ และไม่คุมความประพฤติจำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า กัญชาของกลางมิใช่ของจำเลย ไม่เคยมีผู้ล่อซื้อกัญชาจากจำเลย จำเลยให้การรับสารภาพเพราะเชื่อคำแนะนำของพนักงานสอบสวนและความโง่เขลาและรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั้น เห็นว่าโจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำหน่ายกัญชาดังกล่าวส่วนหนึ่งแก่ผู้ล่อซื้อ จำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ดังฟ้องของโจทก์จำเลยจะมาโต้เถียงในชั้นฎีกาว่ากัญชาของกลางมิใช่ของจำเลย ไม่เคยมีผู้ล่อซื้อกัญชาจากจำเลยหาได้ไม่ เพราะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การรับสารภาพแล้ว ทั้งยังเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ ในชั้นฎีกาซึ่งเป็นปัญหาที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 อีกด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้นเห็นว่า จำเลยก็มิได้สำนึกในภาระหน้าที่ แต่กลับมากระทำความผิดต่อกฎหมายในลักษณะที่เป็นภัยต่อสังคม กรณีไม่มีเหตุอันควรปรานีและไม่สมควรรอการลงโทษให้
พิพากษายืน