แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ข. ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแปลงพิพาทให้ ท. โดยอ้างว่าเพื่อนำเงินที่ขายได้ไปชำระหนี้กองมรดกของ ข. ซึ่งได้ระบุไว้ชัดแจ้งในคำขอจดทะเบียนสิทธิด้วย ซึ่งเป็นอำนาจของผู้จัดการมรดกที่กระทำได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1724 จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นทายาทจึงต้องผูกพันต่อ ท. ในการที่จำเลยที่ 1 กระทำไปดังกล่าว การที่จำเลยที่ 1 กลับไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความโอนที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 โดยไม่มีค่าตอบแทนและรู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ข. ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแปลงพิพาทให้ ท. ไปก่อนแล้วและได้รับชำระราคาครบถ้วนแล้ว ทั้งยังได้ไปดำเนินการยื่นคำขอจะทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนที่ดินพิพาทให้แก่ ท. และอยู่ในระหว่างการดำเนินการของเจ้าพนักงานที่ดินเช่นนี้ ท. จึงอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1300 หาใช่จำเลยที่ 2 ไม่ การที่จำเลยที่ 2 อาศัยสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำกับจำเลยที่ 1 ไปดำเนินการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 2 จึงเป็นทางเสียเปรียบแก่ ท. ผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน โจทก์ในฐานะทายาทและผู้จัดการมรดกของ ท. จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสองขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินแปลงพิพาทได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1300 ประกอบมาตรา 1599 และมาตรา 1600
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทดังกล่าวระหว่างจำเลยทั้งสอง และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติให้ถือคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนในการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทหากไม่สามารถจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ได้ ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าที่ดินจำนวน 150,000 บาท พร้อมค่าเสียหายจำนวน 300,000 บาท รวมเป็นเงิน 450,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 180,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันที่ 9 สิงหาคม 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขออื่นให้ยกและให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับ (ที่ถูก พิพากษาแก้) ให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 1679/1049 หมู่ที่ 7 (4) ตำบลท่างิ้ว อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ระหว่างจำเลยทั้งสองให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางทองชุมหากจำเลยทั้งสองไม่จดทะเบียนโอนที่ดินให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสองในการจดทะเบียนโอนที่ดิน หากจำเลยทั้งสองไม่สามารถจดทะเบียนโอนที่ดินได้ ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินค่าที่ดินจำนวน 150,000 บาท และค่าเสียหายอีกจำนวน 50,000 บาท แก่โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางทองชุมพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีจากต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความทั้งสองศาลรวม 8,000 บาท คำขอนอกจากนี้ให้ยกเสีย
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 และนายเขียว ซึ่งเป็นบิดาของจำเลยที่ 2 เป็นบุตรของนางเข็ม นางเข็มถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2536 โดยนายเขียวถึงแก่ความตายก่อนนางเข็มในวันที่ 28 กรกฎาคม 2521 จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนางเข็มตามคำสั่งศาลชั้นต้น โจทก์เป็นบุตรของนางทองชุมซึ่งถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2541 และเป็นผู้จัดการมรดกของนางทองชุมตามคำสั่งศาลชั้นต้น เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2541 ก่อนนางทองชุมถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางเข็มทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของนางเข็มเจ้ามรดกตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 1679/1049 หมู่ที่ 7 (4) ตำบลท่างิ้ว อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช เนื้อที่ 5 ไร่ 1 งาน 53 ตารางวา ให้แก่นางทองชุมในราคา 150,000 บาท มีข้อตกลงว่า หากผิดสัญญาจำเลยที่ 1 ยินยอมชำระค่าเสียหายให้แก่นางทองชุม 300,000 บาท นางทองชุมชำระราคาที่ดินครบถ้วนแล้ว วันที่ 27 กรกฎาคม 2541 จำเลยที่ 1 และนางทองชุมร่วมกันยื่นคำขอจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดนครศรีธรรมราช วันที่ 7 สิงหาคม 2541 จำเลยที่ 2 ยื่นคำคัดค้านการขอจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทและยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 553/2542 ขอแบ่งทรัพย์มรดกในฐานะทายาทมีสิทธิรับมรดกของนางเข็มแทนที่นายเขียว จำเลยที่ 1 และที่ 2 ตกลงประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยที่ 1 ยินยอมโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมและจำเลยที่ 2 ไปดำเนินการจดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2542 แล้ว ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 มีว่า โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองเพราะการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างนางทองชุมมารดาโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำโดยไม่สุจริตและจำเลยที่ 2 อยู่ในฐานะจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมได้ก่อนโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1300 หรือไม่ เห็นว่า ในทางพิจารณาโจทก์มีนางจงดี เจ้าหน้าที่การเงินและบัญชีช่วยราชการงานออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และโรงเรือนสำนักงานที่ดินจังหวัดนครศรีธรรมราชเบิกความเป็นพยานยืนยันว่า ราคาซื้อขายที่ดินแปลงพิพาทจำนวน 150,000 บาท เป็นราคาตามปกติไม่ได้ต่ำกว่าความเป็นจริงที่จำเลยที่ 2 อ้างตัวเองเป็นพยานเบิกความว่า ราคาที่ดินแปลงพิพาทราคาไร่ละ 100,000 บาท ก็ดี นางศศิธรพยานจำเลยเบิกความว่า ที่ดินแปลงพิพาทหากขายให้บุคคลอื่นได้ราคาประมาณ 250,000 บาท ก็ดี แต่จำเลยที่ 2 ไม่นำพยานหลักฐานมาสืบสนับสนุนให้ฟังได้ว่าราคาซื้อที่ดินแปลงใกล้เคียงกับที่ดินพิพาทมีราคาซื้อขายกันตามที่จำเลยที่ 2 อ้าง อันจะทำให้เห็นว่านางทองชุมกับจำเลยที่ 1 สมคบกันซื้อขายที่ดินแปลงพิพาทในราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริงโดยไม่สุจริตแต่อย่างใด ทั้งจำเลยที่ 2 ก็เบิกความยอมรับว่า นางทองชุมเคยซื้อที่ดินอันเป็นทรัพย์มรดกไปจากจำเลยที่ 1 จำนวน 2 แปลง ด้วย แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้ฟ้องขอเพิกถอนแต่อย่างใด พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานจำเลยที่ 2 ข้อเท็จจริงจึงฟังว่าการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างนางทองชุมกับจำเลยที่ 1 เป็นการซื้อขายโดยสุจริตเช่นเดียวกับที่นางทองชุมเคยซื้อที่ดินมรดกแปลงอื่นจากจำเลยที่ 1 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแปลงพิพาทระหว่างนางทองชุมกับจำเลยที่ 1 กระทำโดยสุจริตและมีการชำระราคาครบถ้วนแล้ว และในวันที่ไปยื่นคำขอจดทะเบียนซื้อขายที่สำนักงานที่ดิน จังหวัดนครศรีธรรมราช โจทก์มีนางจงดีเจ้าพนักงานที่ดินผู้รับคำขอจดทะเบียนเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 2 ถามค้านยืนยันว่า ในวันยื่นคำขอจดทะเบียนมีจำเลยที่ 1 มากับนางทองชุม และพยานได้ทำการสอบสวนเบื้องต้นจำเลยที่ 1 ผู้ขายแล้ว จำเลยที่ 1 อ้างว่าเพื่อนำเงินที่ขายไปชำระหนี้กองมรดกของนางเข็ม ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ไปยื่นคำขอจดทะเบียนด้วยตนเองแต่มอบอำนาจให้นางทองชุมเป็นผู้ยื่นและข้ออ้างว่าเพื่อนำเงินไปชำระหนี้มรดกเป็นข้ออ้างลอยๆ จึงเป็นเพียงความเห็นของจำเลยที่ 2 เองไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ดังนั้น เมื่อได้ยื่นคำขอจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินแล้ว แม้นางทองชุมจะยังไม่ได้ครอบครองที่ดินพิพาทนางทองชุมก็เป็นบุคคลที่อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนางเข็มตามคำสั่งศาล ซึ่งนางศศิธรพยานจำเลยที่ 2 ก็เบิกความยอมรับว่า ที่จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนางเข็มพยานและจำเลยที่ 2 ทราบและได้ให้ความยินยอม จึงต้องฟังว่าจำเลยที่ 2 รู้เห็นและยินยอมให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนางเข็ม ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางเข็มทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแปลงพิพาทให้นางทองชุมโดยอ้างว่าเพื่อนำเงินที่ขายได้ไปชำระหนี้กองมรดกของนางเข็ม ซึ่งได้ระบุไว้ชัดแจ้งในคำขอจดทะเบียนสิทธิด้วยซึ่งเป็นอำนาจของผู้จัดการมรดกที่กระทำได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1724 ทายาททุกคนของนางเข็มรวมทั้งจำเลยที่ 2 จึงต้องผูกพันต่อนางทองชุมในการที่จำเลยที่ 1 กระทำไปดังกล่าว การที่จำเลยที่ 1 กลับไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความโอนที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 โดยไม่มีค่าตอบแทนและรู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางเข็มได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแปลงพิพาทให้นางทองชุมไปก่อนแล้วและได้รับชำระราคาครบถ้วนแล้ว ทั้งยังได้ไปดำเนินการยื่นคำขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนที่ดินพิพาทให้แก่นางทองชุมและอยู่ในระหว่างการดำเนินการของเจ้าพนักงานที่ดินเช่นนี้ นางทองชุมจึงอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1300 หาใช่จำเลยที่ 2 ไม่ การที่จำเลยที่ 2 อาศัยสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำกับจำเลยที่ 1 ไปดำเนินการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 2 จึงเป็นทางเสียเปรียบแก่นางทองชุมผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนโจทก์ในฐานะทายาทและผู้จัดการมรดกของนางทองชุมจึงมีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสอง ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินแปลงพิพาทได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 ประกอบมาตรา 1599 และมาตรา 1600 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนโจทก์ 1,500 บาท