คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1972/2525

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การเบิกความต่อศาลเป็นกิจเฉพาะตัว โดยสภาพไม่อาจตั้งให้ผู้อื่นทำแทนได้
ตามบัญชีพยานระบุว่าจำเลยอ้างตนเองเป็นพยาน โดยมิได้ระบุ ส. เป็นพยานดังนี้แม้ปรากฏว่า ส. ได้รับมอบอำนาจจากจำเลยให้ยื่นคำให้การและเบิกความแทนจำเลยและศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยนำ ส. เข้าเบิกความศาลก็จะรับฟังคำเบิกความของ ส. เป็นพยานหลักฐานไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2), 88

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ส่วนที่โจทก์ทั้งสองฎีกาว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยนำนายสวาสดิ์ ร่มรื่น เบิกความเป็นพยานจำเลยโดยมิได้ระบุพยาน ศาลไม่ควรรับฟังนั้น ปรากฏว่านายสวาสดิ์ได้รับมอบอำนาจจากจำเลยให้ยื่นคำให้การและเบิกความแทนจำเลยในคดีนี้ รวมทั้งมีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาด้วย ดังหนังสือมอบอำนาจลงวันที่ 16 สิงหาคม 2522 และบัญชีพยานของจำเลย ลงวันที่ 24 กันยายน 2522 อันดับ 1 ระบุว่า จำเลยอ้างตนเองเป็นพยาน ศาลฎีกาจึงเห็นพ้องกับฎีกาของโจทก์ว่า ศาลจะรับฟังคำเบิกความของนายสวาสดิ์เป็นพยานหลักฐานไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2), 88 เพราะนายสวาสดิ์ไม่ใช่จำเลย เป็นเพียงผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยให้ดำเนินกระบวนพิจารณาแทนจำเลยเท่านั้น แม้หนังสือมอบอำนาจจะมอบให้นายสวาสดิ์เบิกความแทนจำเลย แต่การเบิกความต่อศาลก็เป็นกิจเฉพาะตัวของจำเลยโดยสภาพไม่อาจตั้งให้ผู้อื่นทำแทนได้ ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยนำนายสวาสดิ์เข้าเบิกความจึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา แต่ฎีกาของโจทก์ข้อนี้เพียงขอให้ศาลไม่รับฟังคำเบิกความของนายสวาสดิ์เท่านั้นและศาลฎีกาก็มิได้นำคำเบิกความของนายสวาสดิ์มาประกอบการวินิจฉัยเพราะพยานเอกสารและพยานบุคคลอื่นของจำเลยเพียงพอที่ฟังได้ว่าที่นาพิพาทเป็นของจำเลย ไม่มีเหตุอันสมควรที่ศาลฎีกาจะใช้อำนาจย้อนสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 ประกอบด้วยมาตรา 247”

พิพากษายืน

Share