คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1969/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 9 วรรคท้ายอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางเท่านั้นเป็นผู้มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดว่าคดีอยู่ในอำนาจของศาลแรงงานหรือไม่ ศาลแรงงานกลางมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องในการพิจารณาคดี โดยไม่มีผู้พิพากษาสมทบฝ่ายนายจ้างและผู้พิพากษาสมทบฝ่ายลูกจ้างร่วมเป็นองค์คณะในการนั่งพิจารณา อันเป็นการผิดระเบียบ จำเลยซึ่งเป็นคู่ความฝ่ายที่เสียหายมิได้คัดค้านเสียภายใน 8 วัน จำเลยจะอุทธรณ์โต้แย้งว่าการพิจารณาของศาลแรงงานกลางไม่ชอบหาได้ไม่ คำฟ้องกล่าวว่า จำเลยทั้งสองเป็นลูกจ้างโจทก์ มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามระเบียบและคำสั่งของโจทก์ จำเลยทั้งสองฝ่าฝืนระเบียบและคำสั่งอันเป็นการผิดสัญญาจ้างแรงงาน ดังนั้น เป็นการฟ้องโดยอาศัยสิทธิเรียกร้องอันเกิดจากการผิดสัญญาจ้างแรงงาน กรณีเช่นนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้เป็นอย่างอื่นจึงมีอายุความ10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 164.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเคยเป็นลูกจ้างโจทก์จำเลยที่ 1 ทำหน้าที่เป็นพนักงานขับรถยนต์ จำเลยที่ 2ทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมการขนส่งบุหรี่ เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2530จำเลยที่ 1 ได้รับมอบหมายจากโจทก์ให้ทำหน้าที่นำรถยนต์บรรทุกหมายเลข รสพ. ทล. 146 หมายเลขตู้ 003 ไปทำการบรรทุกบุหรี่ที่โรงงานยาสูบ ตำบลคลองเตย กรุงเทพมหานคร และจำเลยที่ 2 ทำหน้าที่ควบคุมการบรรทุกบุหรี่ขึ้นรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าว เพื่อนำส่งผู้รับปลายทางที่จังหวัดนครศรีธรรมราช จำเลยทั้งสองปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ไม่ควบคุมดูแลบุหรี่ที่อยู่ในความรับผิดชอบตามหน้าที่โดยเมื่อได้รับมอบบุหรี่ขึ้นบรรทุกบนรถแล้ว จำเลยทั้งสองได้กลับบ้านและไปทำธุรกิจอื่น ปล่อยทิ้งรถยนต์ที่บรรทุกบุหรี่ไว้โดยลำพัง ในบริเวณโรงงานยาสูบ เป็นเหตุให้รถยนต์บรรทุกบุหรี่และบุหรี่ที่บรรทุกบนรถยนต์นั้นถูกคนร้ายลักไปโจทก์ต้องชดใช้ค่าบุหรี่ที่สูญหายให้แก่โรงงานยาสูบเป็นเงิน1,512,394.81 บาท และซ่อมรถยนต์ของโจทก์ที่ถูกคนร้ายงัดประตูเสียหาย เป็นเงิน 7,820 บาท โจทก์เลิกจ้างจำเลยทั้งสองฐานผิดวินัยอย่างร้ายแรง และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์นอกจากนี้เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2525 จำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือประนีประนอมยอมความและผ่อนชำระหนี้แก่โจทก์ ในกรณีที่จำเลยที่ 1 ได้ทำความเสียหายให้แก่โจทก์ เพราะทำให้สินค้าของโจทก์เสียหายและผ้าใบคลุมรถบรรทุกเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยที่ 1กับจำเลยที่ 2 ร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงิน 1,520,214.81 บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์กับให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินค่าเสียหายจำนวน 18,064.70 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและจำเลยที่ 2 ฟ้องแย้งว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลแรงงานกลาง จำเลยทั้งสองไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออันเป็นเหตุให้รถยนต์ที่ใช้สำหรับบรรทุกบุหรี่และบุหรี่บนรถยนต์ของโจทก์ถูกคนร้ายลักไป จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดชอบต่อโจทก์ โจทก์ได้ทราบข้อเท็จจริงที่นำมากล่าวในฟ้องและรู้ตัวผู้กระทำความผิดตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2530 ซึ่งเมื่อนับถึงวันที่โจทก์ฟ้องคดีแล้วเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำมาฟ้องในข้อหานี้ศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยชี้ขาดในคดีเรื่องนี้แล้ว ในคดีที่จำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์เพื่อเรียกค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และเงินบำเหน็จหลังจากที่โจทก์ได้มีคำสั่งเลิกจ้างจำเลยที่ 1 ด้วยสาเหตุจากข้อเท็จจริงนี้ ซึ่งศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยว่าความเสียหายที่โจทก์ได้รับเนื่องจากรถยนต์และบุหรี่ของโจทก์สูญหายนั้นมิใช่เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 ขณะนี้คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาการที่โจทก์นำข้อหาอันมีประเด็นแห่งคดีเช่นเดียวกับคดีที่จำเลยที่ 1 ฟ้องมาฟ้องอีก จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ฟ้องโจทก์ที่ขอให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามหนังสือประนีประนอมและผ่อนชำระหนี้นั้น โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องต่อศาลแรงงานกลาง จำเลยที่ 1 ไม่เคยรับเงินเดือนและค่าครองชีพตามฟ้องจากโจทก์ โจทก์มีคำสั่งเลิกจ้างจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 ไม่มีความผิด ไม่เคยบอกกล่าวเลิกจ้างล่วงหน้า โจทก์จึงต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชยและเงินบำเหน็จตามข้อบังคับของโจทก์ว่าด้วยการสงเคราะห์พนักงาน2519 (ฉบับประมวลแก้ไขเพิ่มเติม ครั้งที่ 5) ขอให้พิพากษายกฟ้องโจทก์ และพิพากษาให้โจทก์จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าค่าชดเชยเงินบำเหน็จแก่จำเลยที่ 2
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า การที่โจทก์เลิกจ้างจำเลยที่ 2ก็ด้วยเหตุที่จำเลยที่ 2 ปฏิบัติผิดสัญญาจ้าง และปฏิบัติด้วยความประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงจำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และบำเหน็จ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดตามสัญญาจ้างด้วย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลแรงงานกลางได้ จำเลยทั้งสองละทิ้งหน้าที่ไม่ปฏิบัติตามระเบียบของโจทก์ จำเลยที่ 1 ยังผ่อนชำระค่าเสียหายในหนี้รายอื่นตามสัญญาประนีประนอมแก่โจทก์ไม่ครบอีก พิพากษาให้จำเลยที่ 1กับจำเลยที่ 2 ร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงินจำนวน 1,520,214.81 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไป กับให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 15,350.20 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีนับแต่วันที่ 1 มีนาคม 2532เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 9 วรรคท้ายบัญญัติให้อำนาจแก่อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางเท่านั้นเป็นผู้มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดว่าคดีอยู่ในอำนาจของศาลแรงงานหรือไม่แต่ผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางได้พิจารณาและพิพากษาไปก่อนเช่นนี้จึงเป็นการไม่ชอบ พิพากษายกคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ให้ศาลแรงงานกลางส่งสำนวนให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางวินิจฉัยก่อนว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจของศาลแรงงานกลางหรือไม่ แล้วดำเนินการต่อไป
อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานกลาง โดยศาลแรงงานกลางได้อ่านคำวินิจฉัยให้โจทก์และจำเลยทั้งสองฟังแล้ว โจทก์และจำเลยทั้งสองแถลงไม่ติดใจสืบพยานใหม่ โดยขอให้ถือเอาคำเบิกความของพยานโจทก์และพยานจำเลยทั้งสองที่ได้สืบมาแล้ว
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงินจำนวน 1,520,214.81 บาท พร้อมดอกเบี้ยกับให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 15,350.20 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2515 จำเลยที่ 1เข้าทำงานกับโจทก์ ครั้งสุดท้ายทำงานในตำแหน่งพนักงานขับรถยนต์ตรีหมวดรถเทรลเลอร์ ขับรถประจำรถ รสพ. ทล. 146 และพ่วงตู้หมายเลข 003เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2512 จำเลยที่ 2 เข้าทำงานกับโจทก์ครั้งสุดท้ายทำงานในตำแหน่งพนักงานคุมยาสูบตรี หน่วยใบยาและยาสูบมีหน้าที่ควบคุมรับผิดชอบในการบรรทุกบุหรี่และควบคุมรถบรรทุกบุหรี่ระหว่างเดินทางจนถึงผู้รับปลายทาง เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2530 จำเลยที่ 1 ได้รับคำสั่งให้นำรถ รสพ. ทล. 146 และพ่วงตู้หมายเลข 003ไปบรรทุกบุหรี่ที่โรงงานยาสูบ เพื่อนำไปส่งให้แก่ผู้รับที่จังหวัดนครศรีธรรมราช และให้จำเลยที่ 2 ไปทำการบรรทุกบุหรี่ที่โรงงานยาสูบและควบคุมรถบรรทุกบุหรี่ จำเลยทั้งสองได้ควบคุมการบรรทุกบุหรี่ขึ้นบรรทุกในตู้พ่วงหมายเลข 003 เสร็จแล้วจำเลยที่ 1 ได้ลงนามรับมอบบุหรี่จำนวน 710 หีบ มูลค่า 4,279,819.50 บาท ในเอกสารรสพ. 19 ก. แล้วจำเลยที่ 1 ได้ขับรถบรรทุกบุหรี่ดังกล่าวไปจอดไว้ใกล้กองรักษาการณ์ในบริเวณโรงงานยาสูบร่วมกับคันอื่นที่จะออกเดินทางไปส่งบุหรี่ที่ภาคใต้พร้อมกัน ส่วนจำเลยที่ 2 ก็ได้รับมอบเอกสารใบผ่านรถออกจากโรงงานยาสูบใบกำกับบุหรี่เสร็จเรียบร้อยจำเลยทั้งสองกำหนดจะออกเดินทางในวันที่ 16 มกราคม 2530 เวลาประมาณ 4 นาฬิกา ก่อนที่จำเลยทั้งสองจะออกเดินทางได้กลับไปบ้านพักและได้กลับมาถึงบริเวณที่ได้จอดรถ รสพ. ทล. 146 ไว้ ปรากฏว่ารถบรรทุก รสพ. ทล. 146 หายไปโจทก์ได้ไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลลุมพินี ในวันที่ 16 มกราคม 2530 เวลาประมาณ 11นาฬิกา ได้พบรถ รสพ. ทล. 146 จอดอยู่ที่ถนนร่มเกล้า เขตลาดกระบังกรุงเทพมหานคร ต่อมาได้บุหรี่คืนมาบางส่วน โจทก์ได้ชดใช้ค่าบุหรี่ที่ไม่ได้คืนให้โรงงานยาสูบเป็นเงิน 1,512,394.81 บาท ซ่อมแซมรถรสพ. ทล. 146 ที่เสียหายเป็นเงิน 7,820 บาท โจทก์ได้ตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงและสอบสวนทางวินัยจนถึงวันที่ 14 มีนาคม 2532ก็มีคำสั่งเลิกจ้างจำเลยทั้งสอง เพราะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 1,512,394.81 บาท ให้แก่โจทก์ด้วย สำหรับจำเลยที่ 1เคยขับรถของโจทก์ทำให้สินค้าและผ้าใบเสียหาย โจทก์ได้ชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้เสียหายไปเป็นเงิน 67,253.20 บาท แล้วจำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือประนีประนอมและผ่อนชำระหนี้ไว้เมื่อวันที่ 21กรกฎาคม 2525 แล้วได้ผ่อนชำระหนี้ตลอดมา นับตั้งแต่วันที่ 1มีนาคม 2532 จำเลยที่ 1 ไม่ยอมผ่อนชำระหนี้ เหลือเงินที่จำเลยที่ 1จะต้องชำระให้โจทก์จำนวน 15,350.20 บาท
จำเลยอุทธรณ์ประการแรกว่า เมื่อศาลแรงงานกลางได้อ่านคำวินิจฉัยของอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางแล้วงดสืบพยานโจทก์ จำเลยเป็นการนั่งพิจารณา แต่ไม่มีผู้พิพากษาสมทบนั่งพิจารณา เพราะไม่ปรากฏว่ามีหนังสือเชิญผู้พิพากษาสมทบ แต่ร่วมลงชื่อในรายงานกระบวนพิจารณาภายหลัง จึงเป็นการพิจารณาไม่ชอบนั้น เห็นว่าการนั่งพิจารณาคดีแรงงาน ศาลแรงงานต้องมีผู้พิพากษา ผู้พิพากษาสมทบฝ่ายนายจ้าง และผู้พิพากษาสมทบฝ่ายลูกจ้าง ฝ่ายละเท่า ๆกันเป็นองค์คณะพิจารณาตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 และมาตรา 31แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับแก่การดำเนินกระบวนพิจารณาโดยอนุโลมดังนั้นถ้าจำเลยเห็นว่าศาลแรงงานกลางมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องในการพิจารณาคดี อันเป็นการผิดระเบียบ จำเลยจะต้องยื่นคัดค้านเสียภายใน 8 วัน ตามมาตรา 27 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ปรากฏว่าศาลได้นั่งพิจารณาในวันที่ 21 สิงหาคม 2533และนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 17 กันยายน 2533 ซึ่งถ้าผู้พิพากษาสมทบมิได้นั่งพิจารณาและลงลายมือชื่อในวันนั้น จำเลยย่อมทราบแล้วว่าเป็นการผิดระเบียบ ก็ควรจะคัดค้านเสียภายใน 8 วัน เมื่อจำเลยมิได้คัดค้านจะมาอุทธรณ์โต้แย้งว่าไม่ชอบหาได้ไม่ การพิจารณาของศาลแรงงานกลางถือว่าชอบแล้ว
จำเลยอุทธรณ์ประการที่สามว่า โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออันเป็นการละเมิดซึ่งมีอายุความ 1 ปีฟ้องของโจทก์จึงขาดอายุความนั้น เห็นว่า ตามฟ้องโจทก์ได้กล่าวว่าจำเลยทั้งสองเป็นลูกจ้างโจทก์ มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามระเบียบและคำสั่งของโจทก์ เมื่อจำเลยทั้งสองฝ่าฝืนระเบียบและคำสั่งอันเป็นการผิดสัญญาจ้างแรงงาน โจทก์จึงมาฟ้องบังคับจำเลยทั้งสองเช่นนี้ ย่อมเห็นได้ว่าเป็นการฟ้องโดยอาศัยสิทธิเรียกร้องอันเกิดจากการผิดสัญญาจ้างแรงงานซึ่งกรณีเช่นนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 จำเลยทั้งสองทำผิดสัญญาจ้างแรงงาน เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2530 โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 15 กันยายน2532 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ…”
พิพากษายืน.

Share