คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1968/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเพียงแต่แถลงขอวางเงินค่าเสียหาย ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามคำพิพากษาส่วนหนึ่งเท่านั้น ส่วนการปฏิบัติตามคำพิพากษาในเรื่องกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินและบ้านตามคำพิพากษายังมิได้มีการตกลงแบ่งกันตามลำดับขั้นตอนให้เสร็จสิ้นเมื่อปรากฏว่าโจทก์และจำเลยตกลงจะไปทำการแบ่ง ทรัพย์สินตามคำพิพากษา แต่เมื่อถึงกำหนดตามที่ตกลงไว้ก็ ยังไม่มีการตกลงแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในทรัพย์สินดังกล่าวกันดังนั้น โจทก์ในฐานะเจ้าของรวมย่อมมีสิทธิขอให้บังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์สินดังกล่าว ไม่เป็น การบังคับคดีเกินกว่าที่ศาลพิพากษา โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินและบ้านซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นของโจทก์ จำเลยก็ให้การต่อสู้อ้างกรรมสิทธิ์และฟังได้ว่าจำเลยมีส่วนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินและบ้านตามส่วน และจะต้องมีการแบ่งกรรมสิทธิ์รวมระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสามตามคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้ว โจทก์ยื่นคำร้องว่าไม่อาจตกลงแบ่งกันได้ และไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ ขอให้แบ่งทรัพย์ตามลำดับขั้นตอนอย่างใด ดังนั้น เมื่อการบังคับไม่อาจดำเนินการตามลำดับขั้นตอนที่กำหนดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 กรณีย่อมบังคับโดยวิธีการขายทอดตลาดตามที่โจทก์ขอได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันใช้ค่าเสียหายเดือนละ 700 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 จะออกไปจากบ้านเลขที่ 99/21 แก่โจทก์ให้โจทก์แบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 14811 ให้แก่จำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่งให้โจทก์แบ่งบ้านเลขที่ 99/21 ให้แก่จำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่งและให้บ้านเลขที่ 99/24 เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 และที่ 3คำขออื่นตามฟ้องและฟ้องแย้งให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บ้านเลขที่ 99/24 เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละส่วนเท่า ๆ กันให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ1,200 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 พร้อมบริวารจะออกไปจากบ้านเลขที่ 99/21 และให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ใช้ค่าเสียหายเดือนละ 1,250 บาท สำหรับบ้านเลขที่ 99/24 ให้แก่โจทก์นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 จะยินยอมให้โจทก์เก็บค่าเช่าบ้านหลังนี้หนึ่งในสามส่วน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุด
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อทำการยึดที่ดินและบ้านเลขที่ 99/21 และ 99/24ที่ปลูกในที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาด เนื่องจากไม่อาจตกลงแบ่งกันได้เพื่อนำเงินที่ขายได้มาแบ่งตามส่วนคำพิพากษาต่อไป
จำเลยทั้งสามยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นคู่ความแล้ว ทนายโจทก์อ้างว่าไม่สามารถปฏิบัติตามคำพิพากษาได้ ส่วนทนายจำเลยทั้งสามอ้างว่า หากสามารถแบ่งแยกที่ดินได้แล้วจึงจะรื้อบ้านที่เป็นส่วนของโจทก์และจำเลยทั้งสามออกไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคู่ความจะต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้นำบ้านและที่ดินออกขายทอดตลาดโดยให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นผู้ดำเนินการขายทอดตลาดแบ่งเงินให้โจทก์และจำเลยตามส่วนแห่งคำพิพากษา
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 14811 เป็นของโจทก์และจำเลยที่ 1 ร่วมกันบ้านเลขที่ 99/21 ที่ปลูกในที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์และจำเลยที่ 1 คนละครึ่งหนึ่ง ส่วนบ้านเลขที่ 99/24 เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกัน โจทก์และจำเลยทั้งสามจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินและบ้านทั้งสองหลังที่ปลูกอยู่ในที่ดินดังกล่าวตามส่วนซึ่งยังมิได้แบ่งกันเป็นส่วนสัด โจทก์ยื่นคำร้องว่า การแบ่งที่ดินและบ้านระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสามซึ่งเป็นเจ้าของรวมตามคำพิพากษาไม่อาจตกลงแบ่งกันได้ จึงเป็นกรณีการแบ่งทรัพย์สินระหว่างเจ้าของรวมถ้าไม่ตกลงกันว่าจะแบ่งทรัพย์สินอย่างไร ก็ต้องดำเนินการแบ่งกันตามที่บัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของรวมย่อมร้องขอให้นำทรัพย์สินดังกล่าวขายทอดตลาดได้ ที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า จำเลยทั้งสามได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาเสร็จสิ้นตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2538 คงเหลือเฉพาะส่วนที่โจทก์จะต้องปฏิบัติคือแบ่งที่ดินและบ้านเลขที่ 99/21ให้จำเลยที่ 1 อย่างละกึ่งหนึ่งโจทก์จึงมีฐานะเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา มิได้เป็นเจ้าหนี้ที่จะขอให้บังคับคดีกับจำเลยทั้งสามโจทก์ไม่มีสิทธิบังคับคดีเกินกว่าที่ศาลพิพากษานั้น เห็นว่า ที่จำเลยทั้งสามอ้างว่าได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาเสร็จสิ้นตั้งแต่ วันที่ 28 สิงหาคม 2538 เป็นเพียงการแถลงขอวางเงินค่าเสียหายเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามคำพิพากษาส่วนหนึ่งเท่านั้น ส่วนการปฏิบัติตามคำพิพากษาในเรื่องกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินและบ้านตามคำพิพากษายังมิได้มีการตกลงแบ่งกันตามลำดับขึ้นตอนอย่างใดให้เสร็จสิ้น ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 23 สิงหาคม 2539 ว่าโจทก์และจำเลยทั้งสามตกลงจะไปทำการแบ่งทรัพย์สินตามคำพิพากษาไม่เกินสิ้นเดือนกันยายน 2539 แต่ก็ไม่มีการตกลงแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในทรัพย์สินดังกล่าวกันอย่างใด โจทก์ในฐานะเจ้าของรวมย่อมมีสิทธิขอให้บังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์สินดังกล่าว หาได้เป็นการบังคับคดีเกินกว่าที่ศาลพิพากษาตามที่จำเลยทั้งสามฎีกาไม่
ที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสามมิได้ฟ้องในเรื่องที่พิพาทขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวม จึงไม่อาจนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 มาใช้บังคับ และการบังคับตามมาตรา 1364 ต้องปฏิบัติตามลำดับขั้นตอน ไม่จำต้องบังคับโดยการขายทอดตลาดนั้น เห็นว่า แม้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสามออกจากที่ดินและบ้านซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นของโจทก์ แต่จำเลยทั้งสามก็ให้การต่อสู้อ้างกรรมสิทธิ์ และฟังได้ว่าจำเลยทั้งสามมีส่วนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินและบ้านตามส่วน และจะต้องมีการแบ่งกรรมสิทธิ์รวมระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสามตามคำพิพากษาดังนั้น ย่อมนำมาตรา 1364 มาบังคับใช้ได้ และเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสามได้ขอให้แบ่งทรัพย์ตามลำดับขั้นตอนอย่างใด และโจทก์ยื่นคำร้องว่าไม่อาจตกลงแบ่งกันได้ การบังคับจึงไม่อาจดำเนินการตามลำดับขั้นตอนที่กำหนดตามมาตรา 1364 ก็ย่อมบังคับโดยวิธีการขายทอดตลาดได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share