คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1962/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายให้หลงเชื่อลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์เอกสารต่าง ๆ เกี่ยวกับสัญญาจำนองที่ดินและหนังสือเรื่องราวจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม แม้จะยังไม่ได้กรอกข้อความลงในเอกสารนั้น การกระทำของจำเลยถือได้ว่าเป็นการหลอกลวงให้ผู้เสียหายทำเอกสารสิทธิแล้ว เพราะจำเลยอาจนำไปกรอกข้อความให้ครบถ้วนบริบูรณ์ว่าผู้เสียหายเจตนาทำสัญญาจำนองที่ดินได้จำเลยจึงมีความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341และเมื่อจำเลยนำเอกสารดังกล่าวไปกรอกข้อความให้ผิดจากความประสงค์ของผู้เสียหายโดยฝ่าฝืนคำสั่งของผู้เสียหายและผู้เสียหายไม่ยินยอมแล้วจำเลยนำไปยื่นต่อธนาคารและสำนักงานที่ดินเพื่อเป็นการจำนองที่ดินของผู้เสียหายค้ำประกันเงินกู้ที่จำเลยเป็นหนี้ธนาคารอยู่การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 และ 268 ด้วยแต่การกระทำของจำเลยมีเจตนาเดียวเพื่อให้ได้เงินจากธนาคารจึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมตามมาตรา 268 ประกอบด้วยมาตรา 265 อันเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265,266, 268, 341, 83, 91 ให้จำเลยคืนเงิน 40,000 บาท แก่ผู้เสียหายและนับโทษจำเลยทั้งสองต่อกับโทษในคดีอื่นของศาลชั้นต้นจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 265, 268, 341 ให้ลงโทษฐานฉ้อโกง จำคุกคนละ 1 ปี ฐานปลอมเอกสารสิทธิจำคุกคนละ 2 ปีรวมจำคุกคนละ 3 ปี ให้จำเลยคืนเงิน 40,000 บาท แก่ผู้เสียหายส่วนคำขอให้นับโทษต่อ ไม่ปรากฏว่าศาลพิพากษาลงโทษจำเลยในคดีเหล่านั้นจึงให้ยก จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คงมีปัญหาที่จะวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำผิดดังฟ้องหรือไม่ ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์จำเลยนำสืบรับกันฟังได้ในเบื้องต้นว่า นายสี กางยางใย ผู้เสียหายและนางนางภริยามีความประสงค์จะขอกู้เงินในนามของตนเองเพียง20,000 บาท แต่ไม่ได้เงินตามที่ขอกู้ แต่กลับปรากฏตามเอกสารหมายจ.8, จ.9 และเอกสารหมาย ล.4 ถึง ล.6 หมาย ล.12 ถึง ล.14ว่าผู้เสียหายและนางนางเอาที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์2 ฉบับ ไปจำนองประกันเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ 2ในวงเงิน 40,000 บาท ทั้งเมื่อผู้เสียหายไม่ได้รับเงินที่ขอกู้ตามประสงค์ จำเลยที่ 2 ก็ออกเช็คสั่งจ่ายเงิน 40,000 บาทให้ซึ่งเกินจำนวนเงินที่ผู้เสียหายขอกู้ แต่ครั้นเช็คถึงกำหนดผู้เสียหายนำไปขึ้นเงินไม่ได้ และโจทก์มีนายสุชาติ ชัยชูสอนพยานโจทก์ซึ่งเป็นสมุห์บัญชีธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาสว่างแดนดินเบิกความว่าที่ไม่จ่ายเงินตามเช็คให้เพราะเกินวงเงินกู้ที่ตกลงไว้กับธนาคารตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 และแม้กระนั้นจำเลยที่ 1ยังสลักหลังเช็คของจำเลยที่ 2 ลงวันที่ล่วงหน้าตามเอกสารหมาย จ.3ลงจำนวนเงินตามเช็ค 40,000 บาทให้ผู้เสียหาย แต่เช็คนี้ก็นำไปขึ้นเงินไม่ได้ เพราะไม่มีลายมือชื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้สั่งจ่ายเช่นนี้ พฤติการณ์ดังกล่าวตลอดถึงวิธีการที่จำเลยทั้งสองกระทำต่อผู้เสียหายดังที่โจทก์นำสืบ ผู้เสียหายต้องถูกผูกพันเอาทรัพย์มาจำนองเป็นประกันเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ 2 โดยผู้เสียหายและนางนางไม่เคยรู้จักจำเลยทั้งสองมาก่อน ซึ่งแม้จะฟังตามที่จำเลยที่ 1 เบิกความว่ารู้จักผู้เสียหายตั้งแต่สมัยตนค้าเครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าก็ไม่ปรากฏว่ามีความสนิทชิดชอบถึงกับผู้เสียหายจะยอมนำที่ดินไปจำนองเป็นประกันเงินกู้ให้จำเลยที่ 2กรณีน่าเชื่อว่าจำเลยที่ 2 ได้รู้เห็นร่วมกระทำความผิดด้วยข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายและนางนางให้หลงเชื่อยอมลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์เอกสารต่าง ๆเกี่ยวกับสัญญาจำนองที่ดินและหนังสือเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม (ท.ด.1) ตามฟ้อง โดยที่เอกสารเหล่านั้นเป็นแบบพิมพ์ยังมิได้กรอกข้อความ และจำเลยทั้งสองได้ร่วมกับผู้มีชื่อกรอกข้อความลงในเอกสารนั้นซึ่งข้อความที่กรอกผิดไปจากความประสงค์อันแท้จริงของผู้เสียหายอันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของผู้เสียหายและผู้เสียหายไม่ยินยอมการที่จำเลยทั้งสองร่วมกันหลอกลวงให้ผู้เสียหายหลงเชื่อลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าว แม้จะยังไม่ได้กรอกข้อความลงในเอกสารนั้นก็ตาม ก็ถือได้ว่าเป็นการหลอกลวงให้ผู้เสียหายทำเอกสารสิทธิแล้ว เพราะจำเลยทั้งสองอาจนำไปกรอกข้อความให้ครบถ้วนบริบูรณ์ว่าผู้เสียหายเจตนาทำสัญญาจำนองที่ดินได้ ดังนั้นการกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ต่อมาเมื่อจำเลยทั้งสองนำเอกสารดังกล่าวไปกรอกข้อความให้ผิดไปจากความประสงค์ที่ให้จำนองที่ดินประกันหนี้ของตัวผู้เสียหายเองเป็นให้ประกันหนี้ของจำเลยที่ 2 อันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของผู้เสียหายและผู้เสียหายไม่ยินยอม แล้วจำเลยทั้งสองนำไปยื่นต่อธนาคารกรุงเทพ จำกัดสาขาสว่างแดนดิน และสำนักงานที่ดินอำเภอสว่างแดนดินเพื่อเป็นการจำนองที่ดินของผู้เสียหายค้ำประกันเงินกู้ที่จำเลยที่ 2 เป็นหนี้ธนาคารอยู่ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ และใช้เอกสารสิทธิปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265, 268 ด้วยตรงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย แต่การกระทำของจำเลยทั้งสองมีเจตนาเดียวเพื่อที่จะได้เงิน 40,000 บาทจากธนาคาร จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาเรียงกระทงลงโทษมานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 265, 268, 341 ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมตามมาตรา 268 ประกอบกับมาตรา 265 ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 ให้จำคุกคนละ 2 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share