แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ขอรับชำระหนี้กับจำเลยตกลงเข้าหุ้นกันเพื่อจะจัดตั้งบริษัททำการจัดสรรที่ดินและอาคารให้เช่าโดยให้ชื่อว่าบริษัทสยามอาคารซึ่งไม่มีคำว่าจำกัด ไว้ปลายชื่อและไม่ปรากฏว่าจะเป็นบริษัทจำกัดหรือเพียงใช้ชื่อบริษัทแต่ความจริงเป็นหุ้นส่วน ผู้ขอรับชำระหนี้ได้ชำระเงินค่าหุ้นให้จำเลยรับไว้แล้ว และบริษัทได้มีการเริ่มงานไปบ้างแล้วโดยหุ้นส่วนทุกคนมอบให้จำเลยเป็นผู้ดำเนินกิจการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการแต่ผู้เดียว ดังนั้น บริษัทดังกล่าวจึงมิใช่บริษัทจำกัด แม้จะมิได้มีการจดทะเบียนก็จะถือว่ากิจการอันตกลงร่วมหุ้นกันนั้นยังไม่จัดตั้งขึ้นหาได้ไม่ จึงจะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1112 มาปรับแก่กรณีมิได้ ผู้ขอรับชำระหนี้จึงไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้เงินค่าหุ้นคืนจากจำเลย
ย่อยาว
เนื่องจากศาลแพ่งมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด และพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย นายเกรียง อู่อุดมยิ่ง ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทำการสอบสวนแล้วมีความเห็นว่า ผู้ขอรับชำระหนี้ควรได้รับชำระหนี้ตามเช็ค 40,000 บาท ส่วนหนี้เงินค่าหุ้นอีก 250,000 บาท ควรยกคำขอเสีย ศาลแพ่งมีคำสั่งเห็นชอบตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
ผู้ขอรับชำระหนี้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำสั่งศาลชั้นต้น เป็นให้ผู้ขอรับชำระหนี้ได้รับชำระหนี้จำนวน 250,000 บาทด้วย
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฎีกา
ปัญหาว่าผู้ขอรับชำระหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้จำนวน 250,000บาทนี้หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงตามทางสอบสวนไม่ปรากฏเลยว่าบริษัทซึ่งผู้ขอรับชำระหนี้และจำเลยตกลงเข้าหุ้นกันนั้น เป็นบริษัทจำกัดตามกฎหมาย หรือเพียงใช้ชื่อบริษัทแต่ความจริงเป็นหุ้นส่วน ในเรื่องบริษัทจำกัดนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1098 บัญญัติว่า “หนังสือบริคณห์สนธิต้องมีรายการดังต่อไปนี้ คือ (1) ชื่อบริษัทอันคิดจะตั้งขึ้นซึ่งต้องมีคำว่า “จำกัด” ไว้ปลายชื่อนั้นด้วยเสมอไป” และมาตรา 1103 ก็บัญญัติว่า บรรดาหนังสือชี้ชวนและหนังสือบอกกล่าวป่าวร้องหรือหนังสืออย่างอื่นในการชักชวนให้เข้าชื่อซื้อหุ้นทุก ๆ ฉบับ ต้องมีข้อความในหนังสือบริคณห์สนธิด้วย แต่ปรากฏตามอุทธรณ์ของผู้ขอรับชำระหนี้ว่า จำเลยชักชวนให้ผู้ขอรับชำระหนี้เข้าชื่อซื้อหุ้น “บริษัทสยามอาคาร” ไม่มีคำว่า จำกัด ไว้ปลายชื่อด้วย และข้อเท็จจริงตามทางสอบสวนยังได้ความด้วยว่า บริษัทที่ผู้ขอรับชำระหนี้และจำเลยตกลงร่วมหุ้นกัน ได้มีการเริ่มงานจัดสรรที่ดินและก่อสร้างอาคารไปบ้างแล้ว โดยหุ้นส่วนทุกคนมอบให้จำเลยเป็นผู้ดำเนินกิจการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการแต่ผู้เดียว ดังนั้น บริษัทที่จำเลยชักชวนให้ผู้ขอรับชำระหนี้เข้าถือหุ้นจึงมิใช่บริษัทจำกัด เมื่อบริษัทสยามอาคารไม่ใช่บริษัทจำกัด แม้จะมิได้มีการจดทะเบียน ก็จะถือว่ากิจการอันตกลงร่วมหุ้นกันนั้นยังไม่จัดตั้งขึ้นหาได้ไม่ จึงจะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1112 มาปรับแก่กรณีมิได้ ผู้ขอรับชำระหนี้จึงไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้เงินค่าหุ้นคืนจากจำเลย
พิพากษาแก้ ให้บังคับคดีตามคำสั่งศาลชั้นต้น