คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 196/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยแนะนำให้โจทก์ลงชื่อในสัญญาเช่าในฐานะผู้ให้เช่าแล้วมอบให้จำเลยไปเพื่อจะได้จัดการให้นายสวงษ์เป็นผู้เช่า แต่จำเลยกลับนำไปกรอกข้อความว่าจำเลยเป็นผู้เช่าเสียเอง จึงขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาเช่าดังกล่าวปรากฏว่าโจทก์ได้นำมูลคดีเรื่องเดียวกันนี้ไปฟ้องจำเลยในทางอาญาในข้อหายักยอกลายมือชื่อ บุกรุกทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งศาลอาญาและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาเช่าฉบับพิพาทต่อกันไว้จริง มิใช่จำเลยนำสัญญาไปกรอกเอาเองดังโจทก์กล่าวหา และคดีอาญาดังกล่าวได้ถึงที่สุดแล้ว ดังนี้ในการพิจารณาคดีส่วนแพ่ง ต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา.ฟ้องโจทก์ในคดีแพ่งซึ่งอ้างข้อหาอย่างเดียวกับคดีอาญาดังกล่าวจึงย่อมตกไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้เช่าที่ดินจากผู้อื่นและได้นำออกแบ่งให้ผู้อื่นเช่าช่วงโดยมอบให้จำเลยเป็นผู้เขียนสัญญา ในวันที่โจทก์นัดให้ผู้เช่าช่วงมาทำสัญญา นายสวงษ์ สมนามไม่มา จำเลยจึงแนะนำให้โจทก์ลงชื่อในสัญญาไว้ และจำเลยจะเป็นผู้จัดทำสัญญาให้แทนเมื่อโจทก์ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่าจำเลยบุกรุกที่ดินโจทก์ จำเลยได้แสดงสัญญาเช่าช่วงต่อพนักงานสอบสวนว่าจำเลยเป็นผู้เช่าช่วงที่ดินจากโจทก์โดยจำเลยกรอกข้อความว่าเป็นผู้เช่าเสียเองเป็นกลฉ้อฉล โจทก์ได้บอกล้างนิติกรรมแล้วขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาเช่าช่วงดังกล่าวและห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยหลอกลวงโจทก์ จำเลยได้ทำสัญญาเช่าช่วงกับโจทก์ โจทก์เคยนำคดีนี้ไปฟ้องทางอาญา ในข้อหาบุกรุก ทำให้เสียทรัพย์และยักยอกลายมือชื่อซึ่งในที่สุดศาลอาญาได้พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์กับจำเลยได้ทำสัญญาเช่าช่วงต่อกันถูกต้อง
ศาลชั้นต้นฟังว่า โจทก์จำเลยมิได้ทำสัญญาเช่าต่อกัน พิพากษาห้ามมิให้จำเลยเข้าเกี่ยวข้องที่พิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ข้อเท็จจริงต้องถือตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ซึ่งศาลอาญาได้วินิจฉัยว่าโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาเช่ากันจริง พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ข้อเท็จจริงได้ความว่า เกี่ยวกับที่ดินพิพาทและสัญญาเช่านี้โจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญา ในข้อหาบุกรุกที่พิพาท ทำให้เสียทรัพย์ และในข้อหายักยอกลายมือชื่อ โดยกล่าวหาว่าจำเลยทำสัญญาเช่าช่วงซึ่งโจทก์ได้ลงชื่อและมอบให้จำเลยนำไปจัดการทำสัญญาเช่าช่วงกับนายสวงษ์ สมนาม แต่จำเลยกลับไปกรอกข้อความเป็นว่าโจทก์ได้ตกลงให้จำเลยเป็นผู้เช่าช่วง ซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันมาว่า โจทก์และจำเลยได้ตกลงทำสัญญาเช่าช่วงฉบับพิพาทนี้ต่อกันจริง มิใช่จำเลยนำไปกรอกข้อความว่าจำเลยเป็นผู้เช่าดังที่โจทก์กล่าวหา ตามคดีอาญาหมายเลขแดงของศาลอาญาที่ ๔๓๕๖/๒๕๑๑ คดีดังกล่าวได้ถึงที่สุดแล้ว
ศาลฎีกาเห็นว่า มูลคดีทางแพ่งที่โจทก์นำมาฟ้องร้องจำเลยในคดีนี้ก็คือมูลคดีเดียวกับคดีที่โจทก์ได้ฟ้องร้องจำเลยในทางอาญา ตามคดีดังกล่าวข้างต้นเมื่อโจทก์ได้นำมูลเรื่องพิพาทกันนี้ไปฟ้องร้องจำเลยเป็นคดีอาญามาแล้วในการวินิจฉัยคดีส่วนแพ่งก็จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ได้ความในคำพิพากษาคดีส่วนอาญานั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๖เมื่อข้อเท็จจริงในคดีทางส่วนอาญาฟังเป็นยุติแล้วว่า โจทก์จำเลยได้ตกลงทำสัญญาเช่าช่วงต่อกันจริง มิใช่จำเลยนำสัญญาไปกรอกเอาเองดังที่โจทก์กล่าวหา ฉะนั้น ฟ้องโจทก์ซึ่งอ้างสภาพแห่งข้อหาในมูลคดีเดียวกับคดีอาญาดังกล่าว จึงย่อมตกไป
พิพากษายืน

Share