คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1958/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยได้รถยนต์คันพิพาทมาจากผู้มีชื่อโดยการตีราคาแลกเปลี่ยนกับรถยนต์คันเดิมของจำเลย ต่อมารถพิพาทถูกรถยนต์คันซึ่งเอาประกันภัยไว้กับบริษัทโจทก์ชนเสียหายโดยฝ่ายหลังเป็นฝ่ายผิด เป็นเหตุให้บริษัทโจทก์มีหน้าที่ต้องรับผิดในผลแห่งความเสียหายต่อจำเลย โจทก์จำเลยตกลงกันให้จำเลยโอนรถพิพาทให้โจทก์และโจทก์ยอมจ่ายเงินให้จำเลย 65,000 บาท ต่อมาโจทก์ได้ขายรถยนต์พิพาทให้ ส. เป็นเงิน 35,000 บาท ส.ได้นำไปซ่อมเสียค่าซ่อมไป 15,000 บาท ความปรากฏต่อเจ้าพนักงานต่อมาว่ารถยนต์พิพาทเป็นของผู้อื่นที่ถูกลักไป จึงยึดและคืนให้แก่เจ้าของ ส.จึงฟ้องโจทก์กับพวกเป็นจำเลย คดีถึงที่สุดโดยศาลพิพากษาให้โจทก์คืนเงินราคารถยนต์ที่รับไว้จาก ส. 35,000 บาท และค่าซ่อมอีก 15,000 บาทแก่ ส. โจทก์จึงมาฟ้องเรียกเงิน 65,000 บาท กับค่าซ่อมรถที่โจทก์จ่ายให้ ส. ไป 15,000 บาทจากจำเลย ดังนี้ การที่โจทก์ยอมใช้เงิน (65,000 บาท) ให้จำเลยแล้วรับโอนรถพิพาทไปก็เพราะโจทก์มีความรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อจำเลยในมูลประกันภัยเป็นคนละเรื่องกับการที่โจทก์ได้ขายรถให้ ส.ไป เมื่อศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้จำเลยคืนเงินให้โจทก์เต็มตามจำนวน 65,000 บาทแล้ว โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิจะเอาเรื่องความรับผิดในการรอนสิทธิในระหว่าง ส.กับโจทก์มาเป็นข้ออ้างเพื่อเอาเงินค่าซ่อมรถจากจำเลยอีกได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องใจความว่า เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๑๓ รถยนต์หมายเลขทะเบียน ก.ท.ย.๗๗๒๕ ซึ่งเอาประกันภัยไว้กับบริษัทโจทก์ ได้ชนรถยนต์หมายเลขทะเบียน ช.บ.๒๑๑๐๙ หรือ ก.ท.จ.๙๖๗๒ อันเป็นรถยนต์คันพิพาทในคดีนี้ ซึ่งจำเลยอ้างว่าเป็นเจ้าของได้รับความเสียหาย โจทก์ในฐานะผู้รับประกัน ยอมชดใช้ค่าเสียหายให้จำเลย ๖๘,๐๐๐ บาท โดยเป็นค่าเสียหายรถยนต์หมายเลขทะเบียน ช.บ.๒๑๑๐๙ หรือ ก.ท.จ.๙๖๗๒ เป็นเงิน ๖๕,๐๐๐ บาท และเป็นค่ารักษาพยาบาลผู้บาดเจ็บ ๓,๐๐๐ บาท และจำเลยยอมโอนรถยนต์หมายเลขทะเบียน ช.บ.๒๑๑๐๙ หรือ ก.ท.จ.๙๖๗๒ ให้โจทก์ ซึ่งต่อมาโจทก์ได้โอนขายให้นายสมัยไปในราคา ๓๕,๐๐๐ บาท นายสมัยนำไปซ่อมสิ้นเงินไป ๑๕,๐๐๐ บาท แล้วโอนขายให้บริษัทฮะเซ้งมอร์เตอร์ในการแจ้งย้ายทะเบียน เจ้าหน้าที่พบว่าหมายเลขเครื่องมีการตอกขึ้นใหม่ จึงอายัดไว้และต่อมาได้คืนให้นายตั้งโง้วสูนซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์คันนั้นและถูกลักไป นายสมัยจึงฟ้องโจทก์นายตั้งโง้วสูน และกรมตำรวจเป็นจำเลย คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาบังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่ารถยนต์คันดังกล่าวเป็นของนายตั้งโง้วสูน โจทก์ไม่มีสิทธิเอาไปขาย ให้โจทก์คืนเงินที่รับไว้เป็นค่ารถยนต์ ๓๕,๐๐๐ บาท และค่าซ่อม ๑๕,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาทแก่นายสมัย การที่จำเลยกล่าวอ้างต่อโจทก์ว่าเป็นเจ้าของรถยนต์คันพิพาท และขอรับค่าเสียหายไปจากดจทก์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นการถูกรอนสิทธิ จำเลยต้องรับผิดในความเสียหายและการรอนสิทธินี้ด้วย การที่จำเลยรับเงินค่ารถยนต์พิพาทไปจากโจทก์ ๖๕,๐๐๐ บาท จึงเป็นการรับไปโดยไม่มีสิทธิต้องคืนให้โจทก์ และต้องรับผิดต่อโจทก์ในค่าเสียหายที่โจทก์ต้องจ่ายไปเพราะการถูกรอนสิทธิอีก ๑๕,๐๐๐ บาทด้วย รวมเป็นเงินที่จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ ๘๐,๐๐๐ บาท ทั้งจำเลยมีหน้าที่ต้องเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในเงิน ๘๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องถึงวันจำเลยชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ซื้อรถยนต์คันพิพาทไปเพราะโจทก์อยู่ในฐานะจะต้องรับผิดต่อผู้เอาประกันภัย รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ย.๗๗๒๕ และต้องรับผิดต่อจำเลยเพราะเหตุรถยนต์คันพิพาทถูกรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ย.๗๗๒๕ ชน ถึงแม้โจทก์จะไม่ซื้อรถยนต์จากจำเลย โจทก์ก็ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยอยู่แล้วเมื่อโจทก์เลือกทางปฏิบัติการชำระค่าเสียหายให้แก่จำเลยเช่นนี้ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยชดใช้เงิน ๑๕,๐๐๐ บาทที่โจทก์ต้องรับผิดเป็นค่าซ่อมรถยนต์พิพาทต่อนายสมัยจากจำเลย เงินจำนวนนี้เป็นค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับนายสมัย นายสมัยมิได้มีความผูกพันตามกฎหมายกับจำเลย การที่โจทก์แพ้คดีนายสมัยต้องชดใช้เงินให้นายสมัยไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ที่จะมาฟ้องเรียกเอาค่าเสียหายที่โจทก์ชำระให้จำเลยไปแล้วคืนจากจำเลยได้ ทั้งไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระดอกเบี้ยตามฟ้อง ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยคืนเงิน ๖๕,๐๐๐ บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๑๓ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์ให้จำเลยชำระเงินค่าซ่อมรถ ๑๕,๐๐๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๑๙ อันเป็นวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์อีกจำนวนหนึ่ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยคืนเงิน ๖๕,๐๐๐ บาทให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๑๓ เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเงินให้โจทก์เสร็จ
โจทก์ฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า รถยนต์ซึ่งเอาประกันภัยไว้กับบริษัทโจทก์ชนรถยนต์พิพาทเสียหายและเป็นฝ่ายผิด เป็นเหตุให้บริษัทโจทก์มีหน้าที่ต้องรับผิดในผลแห่งความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อเจ้าของรถยนต์คันพิพาท จำเลยซึ่งอ้างตนเป็นเจ้าของรถยนต์คันพิพาทกับบริษัทโจทก์ตกลงกันให้จำเลยโอนรถยนต์คันพิพาทให้บริษัทโจทก์และบริษัทโจทก์ยอมจ่ายเงินให้จำเลย ๖๕,๐๐๐ บาท ต่อมาบริษัทโจทก์ได้ขายรถยนต์คันพิพาทให้นายสมัยไปเป็นเงิน ๓๕,๐๐๐ บาท นายสมัยได้นำไปซ่อมเสียค่าซ่อมไป ๑๕,๐๐๐ บาท ความปรากฏต่อเจ้าพนักงานว่ารถยนต์พิพาทเป็นของผู้อื่นที่ถูกลักไป จึงยึดและคืนให้แก่เจ้าของ นายสมัยจึงฟ้องโจทก์กับพวกเป็นจำเลย คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาให้บริษัทโจทก์คืนเงินราคารถยนต์ที่รับไว้จากนายสมัย ๓๕,๐๐๐ บาท และค่าซ่อมที่นายสมัยเสียไป ๑๕,๐๐๐ บาทแก่นายสมัย
วินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้วเห็นว่าโจทก์มีความรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อจำเลยในมูลประกันภัย การที่โจทก์ยอมใช้เงินให้จำเลยแล้วรับโอนรถไปก็เพราะเหตุนี้ เป็นคนละเรื่องกับการที่โจทก์ได้ขายรถให้นายสมัยไป เมื่อศาลได้พิพากษาให้จำเลยคืนเงินให้โจทก์เต็มตามจำนวน ๖๕,๐๐๐ บาทแล้ว โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิจะเอาเรื่องความรับผิดในการรอนสิทธิในระหว่างนายสมัยกับโจทก์มาเป็นข้ออ้างเพื่อเอาเงินค่าซ่อมรถจากจำเลย
พิพากษายืน.

Share