คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1955/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันเกิดเหตุโดยได้รับความยินยอมจากส.เจ้าหน้าที่วิทยาลัยการปกครอง ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 แม้จำเลยที่ 2 จะมีระเบียบว่าด้วยการใช้ รถยนต์เป็นประการใดก็ตาม ก็ไม่อาจนำมาใช้ยันโจทก์ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดในผลแห่ง ละเมิดนั้นด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 427 เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยได้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ เอาประกันภัยที่จำเลยที่ 1 กระทำละเมิดแล้วจึงรับช่วงสิทธิ มาเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายในเหตุละเมิด 229,234 บาท
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นหมายเรียกกรมราชทัณฑ์เข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามคำร้องขอของโจทก์ จำเลยร่วมให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชดใช้เงิน220,638 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ยกฟ้องในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยร่วม
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าก่อนเกิดเหตุทางวิทยาลัยการปกครองซึ่งเป็นหน่วยงานของจำเลยที่ 2 ได้ขอกำลังผู้ต้องขังหรือนักโทษจากสถานกักขังกลางธัญบุรี ซึ่งเป็นหน่วยงานของจำเลยร่วมมาตัดหญ้าในพื้นที่ของวิทยาลัยการปกครองโดยวิทยาลัยการปกครองเป็นผู้จัดรถรับและส่งผู้ต้องขังหรือนักโทษที่ทำงานให้ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นข้าราชการในสังกัดของจำเลยร่วมได้ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 4ย-2862 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 โดยประมาทเฉี่ยวชนกับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน5ฐ-1674 กรุงเทพมหานคร เป็นเหตุให้รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน5ฐ-1674 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเอาประกันไว้กับโจทก์ได้รับความเสียหายโจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยได้ซ่อมแซมรถยนต์คันดังกล่าวแล้ว จึงรับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันภัยมาเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ประการแรกมีว่า จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 หรือไม่ จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้อนุญาตหรือยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 4ย-2862 กรุงเทพมหานคร ไปส่งผู้ต้องขังหรือนักโทษยังสถานกักขังกลางธัญบุรี แต่ประการใด จำเลยที่ 1 กระทำไปโดยพลการโดยฝ่าฝืนระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรถราชการ พ.ศ.2523เอกสารหมาย ล.3 และระเบียบวิทยาลัยการปกครองว่าด้วยการใช้รถยนต์ของวิทยาลัยการปกครอง ฝ่ายฝึกอบรมและพัฒนา พ.ศ. 2530 เอกสารหมาย ล.4 ในปัญหาข้อนี้โจทก์มีนายปรีชา สายสุวรรณนที ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์เบิกความว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนจำเลยที่ 2 ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะตัวแทนเพื่อผลประโยชน์ของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 เป็นตัวการและเป็นเจ้าของรถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 ขับจำเลยที่ 2 จ้างวานใช้ให้จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ในฐานะตัวแทนเพื่อผลประโยชน์ของจำเลยที่ 2ส่วนจำเลยที่ 2 มีนายพิสิฐ นรัตนรักษา ซึ่งเคยรับราชการเป็นนิติการอยู่ที่กรมการปกครองนายเจริญ ถือคำ ผู้ช่วยหัวหน้างานอาคารและสถานที่วิทยาลัยการปกครองและนายนคร สุสัณจิตพงษ์ หัวหน้างานอาคารและสถานที่ วิทยาลัยการปกครอง ต่างเบิกความได้ความว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถยนต์ของวิทยาลัยการปกครองคันเกิดเหตุแต่ได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวโดยพลการและเกิดการเฉี่ยวชนกันขึ้น แต่จำเลยที่ 1 ซึ่งเบิกความเป็นพยานของจำเลยที่ 2 และจำเลยร่วมเบิกความว่า โดยปกติจำเลยที่ 1 จะได้รับมอบหมายให้ไปทำงานที่วิทยาลัยการปกครองเป็นประจำจำเลยที่ 1 จึงมีความสนิทสนมกับเจ้าหน้าที่วิทยาลัยการปกครองในขณะที่อยู่ในวิทยาลัยการปกครองจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันดังกล่าวให้นักโทษเก็บขยะ ในวันเกิดเหตุนายสำรวย คงคา เจ้าหน้าที่ของวิทยาลัยการปกครองซึ่งสนิทสนมกันอนุญาตให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถออกมาจากวิทยาลัยการปกครองและเกิดการเฉี่ยวชนกันขึ้น นอกจากนี้ยังมีนายประสิทธิ ทักษะกรวงศ์ ตำแหน่งนิติกร 5 กรมราชทัณฑ์ พยานของจำเลยร่วมเบิกความว่าจากการตรวจสอบสาเหตุที่จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ในวันเกิดเหตุเนื่องจากเจ้าหน้าที่ของวิทยาลัยการปกครองไม่ว่าง ในช่วงเช้าที่จะขับรถยนต์นำผักตบชวาไปทิ้ง จึงมอบหมายให้จำเลยที่ 1 ขับแทนและเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องมาจนถึงในตอนกลับจึงให้จำเลยที่ 1ขับรถยนต์กลับไปเอง โดยเจ้าหน้าที่ของวิทยาลัยการปกครองนั่งรถยนต์คันดังกล่าวด้วยจากคำเบิกความของพยานจำเลยที่ 2 และจำเลยร่วมดังกล่าวมีข้อแตกต่างกันในข้อที่ว่าจำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 2 ให้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุหรือไม่โดยพยานฝ่ายจำเลยที่ 2 และวิทยาลัยการปกครองยืนยันว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันดังกล่าวโดยพลการ ส่วนจำเลยที่ 1 และนายประสิทธิ พยานของจำเลยร่วมต่างยืนยันว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันเกิดเหตุ โดยได้รับอนุญาตจากนายสำรวย เจ้าหน้าที่ของวิทยาลัยการปกครองซึ่งเป็นส่วนราชการในสังกัดของจำเลยที่ 2 เมื่อปรากฏว่านายเจริญและนายนครเบิกความยอมรับว่า จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุโดยมีนายสำรวยอยู่ในรถคันเกิดเหตุด้วยเป็นการเจือสมกับคำเบิกความของจำเลยที่ 1 และนายประสิทธิ์ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันเกิดเหตุ โดยได้รับความยินยอมจากเจ้าหน้าที่ของวิทยาลัยการปกครอง เมื่อนายสำรวยเจ้าหน้าที่วิทยาลัยการปกครองซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 อนุญาตให้จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันเกิดเหตุไปก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น แม้ว่าจำเลยที่ 2 และวิทยาลัยการปกครองจะมีระเบียบว่าด้วยการใช้รถยนต์เป็นประการใดก็ตามก็เป็นระเบียบที่ใช้บังคับกันเป็นการภายในของจำเลยที่ 2 ไม่อาจนำมาใช้ยันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดในผลแห่งการละเมิดนั้นด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 427 เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยได้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยที่จำเลยที่ 1 กระทำละเมิดแล้ว จึงรับช่วงสิทธิมาเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดได้ ฎีกาของจำเลยที่ 2 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share