แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยกับพวกเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ มีอาการมึนเมาสุรา จำเลยเอาอาวุธปืนเล็กกลจ่อใต้ใบหูขวาของผู้ตายเพื่อจะขู่ผู้ตายไม่ให้หลบหนีผู้ตายพยายามวิ่งไปหา ต.บิดาจำเลยฉุดข้อมือผู้ตายไว้ขณะนั้น นิ้วของจำเลยอยู่ที่ไกปืนการฉุดกันทำให้จำเลยเสียหลักนิ้วมือถูกไกปืน เป็นเหตุให้อาวุธปืนลั่นโดยจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้ตาย การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะของจำเลยจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และจำเลยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยประมาทอันเป็นเรื่องข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างจากข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวในฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา แต่ข้อแตกต่างไม่ใช่ข้อสาระสำคัญและทั้งจำเลยไม่หลงข้อต่อสู้ ศาลมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความนี้ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคสอง และวรรคสาม.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงนายสมนึกหรือศักดิ์ ใจการ1 นัด โดยเจตนาฆ่า กระสุนปืนถูกที่ใต้ใบหูขวาทะลุใบหูซ้ายเป็นเหตุให้นายสมนึกหรือศักดิ์ถึงแก่ความตายทันที ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 คืนของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุก 20 ปี ข้อนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 13 ปี4 เดือน คืนของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยกับพวกซึ่งมีจ่าสิบตำรวจณรงฤทธิ์เป็นหัวหน้ามาที่บ้านเกิดเหตุ 2 ครั้ง ครั้งแรกมาถึงเวลาประมาณ 21 นาฬิกา ทุกคนไม่ได้แต่งเครื่องแบบตำรวจและมีอาการมึนเมาสุรา จำเลยนำเครื่องรับวิทยุมาด้วย และเปิดเสียงดังจึงเกิดมีปากเสียงกับนายตุ้ย ใจการ สามีของนางดี ขันตีต่อประมาณ 10 นาที จำเลยกับพวกก็ออกจากบ้านไป แล้วพากันกลับมาอีกครั้งหนึ่งเวลาประมาณ 22 นาฬิกา ครั้งนี้ทุกคนถืออาวุธปืนยาวมาด้วยและแต่งเครื่องแบบตำรวจ จำเลยกับพวกจอดรถยนต์ของทางราชการตำรวจไว้ที่หน้าบ้าน จำเลยกับพวกขึ้นลำอาวุธปืนแล้วเดินเข้ามาในบ้าน โดยจำเลยเดินตามหลังพวกของจำเลยเข้ามา จ่าสิบตำรวจณรงค์ฤทธิ์พูดขึ้นว่า ใครไม่อยากตายให้ออกไปให้หมด แขกที่มาเที่ยวจึงกลับไปหมด จ่าสิบตำรวจณรงฤทธิ์พูดขึ้นว่า ขอจับสาวที่มาค้าประเวณีทั้งหมด นายตุ้ยพูดว่า ไม่ต้องจับกุม พรุ่งนี้ผมจะไปส่งให้ทั้งสี่คนที่โรงพัก และมีเสียงพวกจำเลยพูดว่าหากไม่ให้สาวก็จะเอาลูกชายไปแทน ขณะนั้นผู้ตายอยู่ที่ศาลาหน้าบ้าน กำลังจะเดินมาหานายตุ้ย พวกของจำเลยพูดแล้วได้เข้าไปจับแขนผู้ตายพร้อมกับพูดว่าไปขึ้นรถ ผู้ตายพูดว่า อย่าจับผมให้ไปจับพ่อ จำเลยพูดกับผู้ตายว่า ถ้าไม่อยากตายให้ไปขึ้นรถแล้วจำเลยใช้ปากกระบอกปืนยาวจ่อที่หูขวาของผู้ตาย ผู้ตายพูดอีกว่าไปจับพ่อผม ผมไม่รู้เรื่อง ระหว่างนั้นพวกของจำเลยพูดว่า หากพูดจาไม่รู้เรื่องก็ให้ฆ่าเสียเลย ผู้ตายจะวิ่งไปหานายตุ้ยแต่จำเลยฉุดเอาไว้แล้วก็มีเสียงปืนดังขึ้นทันที ผู้ตายล้มลงกับพื้นนายตุ้ยเข้าไปดูผู้ตายพร้อมกับพูดว่า ทรงกลดฆ่าไอ้นึกทำไมมันทำอะไรให้มึงหรือ ผู้ตายมีบาดแผลเป็นรูกระสุนใต้หูขวาทะลุไปยังบริเวณใต้หูซ้ายและมีเขม่าดินปืนติดอยู่บริเวณใบหูด้านขวาพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบไม่ได้ความว่าจำเลยมีสาเหตุกับผู้ตายมาก่อนและไม่ได้ความว่าผู้ตายได้กระทำความผิดฐานใดที่จะต้องถูกจำเลยกับพวกจับกุม ทั้งไม่ได้ความว่าผู้ตายได้ต่อสู้หรือขัดขวางการจับกุมแต่อย่างใด ผู้ตายเพียงแต่พูดว่าผู้ตายไม่รู้เรื่องด้วยถ้าจะจับกุมก็ให้ไปจับกุมบิดาของผู้ตาย แล้วผู้ตายก็พยายามจะวิ่งไปหานายตุ้ยซึ่งเป็นบิดาของผู้ตาย จำเลยฉุดเอาไว้อาวุธปืนของจำเลยจึงลั่นขึ้น การกระทำของผู้ตายดังกล่าวยังไม่เป็นเหตุที่จะให้จำเลยถึงกับลั่นไกปืนยิงผู้ตายโดยเจตนาฆ่าผู้ตายและข้อเท็จจริงได้ความว่าขณะเกิดเหตุจำเลยกับพวกมีอาการมึนเมาสุรา นางดีเบิกความถึงเหตุการณ์ตอนนี้ว่าเห็นจำเลยยืนตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพวกตำรวจที่มาด้วยก็ดึงตัวจำเลยขึ้นรถกลับไปรูปคดีมีเหตุผลให้เชื่อได้ว่าจำเลยเอาอาวุธปืนจ่อที่ใต้หูขวาของผู้ตายเพื่อจะขู่ผู้ตายไม่ให้หลบหนีให้ไปขึ้นรถไปกับจำเลยแทนการที่จำเลยไม่ได้จับกุมหญิงโสเภณี เมื่อผู้ตายพายามจะวิ่งไปหานายตุ้ยแล้วจำเลยฉุดมือผู้ตายไว้ ในช่วงนั้นนิ้วมือของจำเลยอยู่ที่ไกปืน เมื่อมีการฉุดกันทำให้จำเลยเสียหลักนิ้วมือจึงถูกไกปืนเป็นเหตุให้อาวุธปืนลั่นขึ้นโดยจำเลยไม่ได้เจตนาฆ่าผู้ตาย แต่การที่จำเลยขู่ผู้ตายโดยเอาปากกระบอกปืนจ่อที่ใต้หูขวาของผู้ตายเช่นนั้นนิ้วมือของจำเลยอาจไปถูกไกปืนเป็นเหตุให้อาวุธปืนลั่นขึ้นได้ ดังนั้นการที่อาวุธปืนลั่นขึ้นครั้งนี้จึงเป็นการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะของจำเลยจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์และจำเลยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยประมาทอันเป็นเรื่องข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง แต่ข้อแตกต่างมิใช่ข้อสาระสำคัญและทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ซึ่งศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยในข้อหาดังกล่าวตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192วรรคสองและวรรคสาม ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 ลงโทษจำคุก 3 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2.