แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยได้มอบหมายให้ จ. เป็นผู้ดำเนินการทำสัญญาขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ โดยจำเลยลงลายมือชื่อเป็นคู่สัญญา ฉะนั้นจำเลยจึงต้องผูกพันตามสัญญาจะซื้อขายที่จำเลยฎีกาว่า สัญญาจะซื้อขายไม่ผูกพันจำเลย เพราะไม่มีกรณีตั้งตัวแทนหรือยินยอมให้ผู้ได้เชิดตนเองกระทำการเป็นตัวแทนจำเลย และที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเรื่องตัวแทนเชิดเป็นเรื่องนอกฟ้องนั้น คดีนี้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจากพฤติการณ์ฟังได้ว่าจำเลยได้มอบหมายให้ จ. และ ป. ภริยาเป็นผู้ติดต่อขายที่ดินของจำเลยแทนจำเลยและจำเลยเป็นผู้ลงชื่อในสัญญาด้วยตนเอง ดังนี้ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยเรื่องตัวแทนเชิดดังที่จำเลยฎีกาแต่อย่างใด โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้โจทก์และโจทก์ได้ว่าจ้างบริษัท ม. ปลูกสร้างอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก3 ชั้น ลงบนที่ดินดังกล่าวขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ หากไม่สามารถโอนที่ดินพิพาทให้ได้ให้ใช้ราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยโอนสิ่งปลูกสร้างด้วย จึงไม่เกินคำขอ และโจทก์ได้บรรยายฟ้องว่าโจทก์ได้ว่าจ้างบริษัท ม. ปลูกสร้างอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก3 ชั้น บนที่ดินพิพาท การก่อสร้างดังกล่าวย่อมทำให้ที่ดินพิพาทราคาสูงขึ้น เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้โจทก์ จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในส่วนที่เกี่ยวกับราคาที่ดินที่สูงขึ้นเพราะการก่อสร้างด้วยและราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่โจทก์ขอให้ชดใช้ย่อมหมายถึงราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในขณะฟ้อง ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้จำเลยต้องรับผิดสำหรับค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่สูงขึ้นในขณะฟ้องตามที่โจทก์ขอมาท้ายฟ้อง จึงไม่เป็นการนอกฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า วันที่ 14 สิงหาคม 2522 โจทก์ได้ทำหนังสือสัญญาจะซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 14475 จากจำเลยในราคา210,000 บาท ได้ชำระเงินมัดจำแล้ว 70,000 บาท ในวันทำสัญญาและโจทก์ได้ว่าจ้างบริษัทมาสเตอร์แพน จำกัด ปลูกสร้างอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 3 ชั้น ลงในที่ดินดังกล่าวในราคา 240,000 บาทวันที่ 25 มกราคม 2523 โจทก์ได้ชำระเงินค่าที่ดินที่ค้าง140,000 บาท แก่จำเลยครบถ้วนแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าว ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินตามโฉนดเลขที่ 14475 แก่โจทก์หากไม่ไปทำการโอน ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยหากไม่สามารถโอนที่ดินพิพาทให้ได้ให้ใช้ราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างรวม 450,000 บาท และค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้นจากการสร้างอาคารอีก150,000 บาท รวมเป็น 600,000 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทจำนวน 21 ตารางวา แก่โจทก์แล้ว จำเลยไม่เคยรับเงินมัดจำและรับเงินค่าที่ดินจากโจทก์ สัญญาจะซื้อขายและใบเสร็จรับเงินที่โจทก์อ้างเป็นเอกสารปลอม จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดค่าเสียหายตามฟ้อง โจทก์ฟ้องคดีเกินสองปีนับจากวันทำสัญญาจะซื้อขายคดีโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วมีคำสั่งงดสืบพยานจำเลย แล้วพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งและคำพิพากษา
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานจำเลยแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานจำเลยเสร็จแล้วพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามโฉนดที่ดินเลขที่ 14475 ให้แก่โจทก์ หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยหากไม่สามารถโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวแก่โจทก์ได้ ให้จำเลยชำระเงิน 600,000 บาท แก่โจทก์รวมทั้งดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาข้อแรกว่า จำเลยไม่เคยทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ การที่จำเลยลงลายมือชื่อในสัญญาจะขายเป็นการจะขายให้นายจิระศักดิ์และนางปราณีนั้นพยานโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อ ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยได้มอบหมายให้นายจิระศักดิ์เป็นผู้ดำเนินการทำสัญญาขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ โดยจำเลยลงลายมือชื่อเป็นคู่สัญญาฉะนั้นจำเลยจึงต้องผูกพันตามสัญญาจะซื้อขายเอกสารหมาย จ.3จำเลยฎีกาต่อไปว่า สัญญาจะซื้อขายเอกสารหมาย จ.3 ไม่ผูกพันจำเลยเพราะไม่มีกรณีตั้งตัวแทนหรือยินยอมให้ผู้ได้เชิดตนเองกระทำการเป็นตัวแทนจำเลย การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเรื่องตัวแทนเชิดจึงเป็นเรื่องนอกฟ้อง เห็นว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจากพฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่าจำเลยได้มอบหมายให้นายจิระศักดิ์และนางปราณีภริยาเป็นผู้ติดต่อขายที่ดินของจำเลยแทนจำเลย และจำเลยเป็นผู้ลงชื่อในสัญญาด้วยตนเอง ดังนั้น สัญญาจะซื้อขายเอกสารหมาย จ.3จึงผูกพันจำเลย ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยเรื่องตัวแทนหรือตัวแทนเชิดดังที่จำเลยฎีกา
จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ให้โอนที่ดินพิพาทไม่เกี่ยวกับสิ่งปลูกสร้าง ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนสิ่งปลูกสร้างจึงเกินคำขอท้ายฟ้องเห็นว่าโจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้โจทก์และโจทก์ได้ว่าจ้างบริษัทมาสเตอร์แพน จำกัด ปลูกสร้างอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 3 ชั้น ลงบนที่ดินดังกล่าว ขอให้บังคับให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ หากไม่สามารถโอนที่ดินพิพาทให้ได้ให้ใช้ราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์ ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยโอนสิ่งปลูกสร้างด้วย จึงไม่เกินคำขอ
จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายว่า โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าที่ดินเพิ่มขึ้นจากการก่อสร้าง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชำระค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้นจึงเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้อง และหากเห็นว่าโจทก์มีสิทธิเรียกได้ ก็มีสิทธิเรียกเพียง 20,000 บาท นั้นเห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ได้ว่าจ้างบริษัทมาสเตอร์แพนจำกัด ปลูกสร้างอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 3 ชั้น บนที่ดินพิพาทการก่อสร้างดังกล่าวย่อมทำให้ที่ดินพิพาทราคาสูงขึ้น เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้โจทก์จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในส่วนที่เกี่ยวกับราคาที่ดินที่สูงขึ้นเพราะการก่อสร้างด้วย และราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่โจทก์ขอให้ชดใช้ย่อมหมายถึงราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในขณะฟ้อง ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้จำเลยต้องรับผิดสำหรับค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่สูงขึ้นในขณะฟ้องตามที่โจทก์ขอมาท้ายฟ้องจึงไม่เป็นการนอกฟ้อง ส่วนราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่สูงขึ้นนี้โจทก์เบิกความยืนยันว่าสูงขึ้น 150,000 บาทจำเลยมิได้นำสืบหักล้าง ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างราคาเพิ่มขึ้น 150,000 บาท ตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย
พิพากษายืน