แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ บ. และทายาทอื่นของ ส. ได้ขายส่วนของตนในที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย เป็นการแสดงเจตนาขายสิทธิในทรัพย์มรดกส่วนของทายาทแต่คนให้แก่จำเลยซึ่งเป็นทายาทคนหนึ่งของ ส. และมีการโอนทางทะเบียนเป็นชื่อของจำเลยแล้ว ย่อมมีผลบังคับได้ตามกฎหมาย เนื่องจากทายาทแต่ละคนมีอำนาจขายทรัพย์มรดกส่วนของตนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 1745 ทั้งถือได้ว่า โจทก์ที่ 1 จำเลย บ. และทายาทอื่นตกลงแบ่งทรัพย์สินโดยการขายทรัพย์มรดกแล้วเอาเงินที่ขายได้มาแบ่งปันกันระหว่างทายาทตามมาตรา 1750 วรรคหนึ่ง จึงไม่จำเป็นต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 456 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นายสุข เนื่องอัมพร เจ้ามรดกมีบุตร 5 คน เรียงตามลำดับ คือ จำเลย นายยุ้ย เนื่องอัมพร โจทก์ที่ 1 นางบุญช่วย วงษ์วารี และนายประยงค์ เนื่องอัมพร นายสุขถึงแก่ความตาย เมื่อประมาณปี 2488 และมีทรัพย์มรดกโดยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์กึ่งหนึ่งร่วมกับนายเจ็ก มุกดาดวง ในที่ดินโฉนดเลขที่ 6827 เนื้อที่ประมาณ 93 ไร่ ก่อนถึงแก่ความตายนายสุขได้จดทะเบียนจำนองที่ดินไว้แก่สหกรณ์โชควัฒนาไม่จำกัดสินใช้โจทก์ที่ 1 และนางบุญช่วย วงษ์วารี ซึ่งเป็นมารดาโจทก์ที่ 2 ครอบครองทำนาทำสวนและพักอาศัยอยู่บ้านเลขที่ 3 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวร่วมกับนายสุขตลอดมา โจทก์ที่ 2 ในฐานะทายาทนางบุญช่วยก็ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวเรื่อยมาหลังจากที่นายสุขและนางบุญช่วยถึงแก่ความตายจนถึงปัจจุบัน เมื่อปี 2508จำเลยจดทะเบียนรับมรดกที่ดินเฉพาะส่วนของนายสุขใส่ชื่อตนเพียงผู้เดียวโดยไม่สุจริตโดยไม่ได้รับความยินยอมจากทายาท และปี 2509 จำเลยรวบรวมเงินจากโจทก์ที่ 1 และนางบุญช่วยไปไถ่ถอนจำนอง โดยมิได้โอนทรัพย์มรดกของนายสุขให้แก่โจทก์ทั้งสองผู้เป็นทายาท ต่อมาปลายเดือนกันยายน2534 โจทก์ทั้งสองไปตรวจสอบที่สำนักงานที่ดิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยาสาขาเสนา จึงทราบว่าจำเลยยื่นคำขอรับมรดกของนายสุขและไถ่ถอนจำนองแล้ว จำเลยแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวแก่นายเจ็กเจ้าของรวมคนละกึ่งหนึ่ง เมื่อประมาณปี 2510 โดยที่ดินพิพาทส่วนของจำเลยได้โฉนดใหม่เลขที่ 11829 เนื้อที่ประมาณ 47 ไร่ 19 ตารางวา โจทก์ทั้งสองมีสิทธิได้รับมรดกที่ดินพิพาทของนายสุขคนละ 1 ใน 5 ส่วน เนื้อที่คนละ 9 ไร่ 1 งาน 63 ตารางวา ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 11829 ตำบลพระยาบรรลือ (สิงหนาท) อำเภอลาดบัวหลวง (เสนาน้อย)จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้แก่โจทก์ทั้งสองเนื้อที่คนละ 9 ไร่ 1 งาน 63 ตารางวา หากไม่ไปจดทะเบียนให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา หากจำเลยไม่สามารถจดทะเบียนโอนที่ดินให้โจทก์ทั้งสองได้ครบจำนวนเนื้อที่ให้ชดใช้ราคาที่ดินส่วนที่ขาดอยู่ในราคาไร่ละ 500,000 บาท
จำเลยให้การว่า เมื่อประมาณปี 2484 นายสุข เนื่องอัมพร บิดาจำเลยและนายเจ็กหรือประยูร มุกดาดวง ร่วมกันซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 6827 จากขุนรัตนาภิบาล และได้จดทะเบียนจำนองที่ดินแก่สหกรณ์โชควัฒนาไม่จำกัดสินใช้ นายสุขถึงแก่ความตายเมื่อประมาณปี 2490 ซึ่งขณะนั้นจำเลยอุปสมบทเป็นพระภิกษุ และเป็นผู้จัดการงานศพบิดาแต่ผู้เดียว ต่อมาจำเลยลาสิกขาเมื่อประมาณปี 2506 ที่ดินโฉนดเลขที่ 6827 เฉพาะส่วนของนายสุขตกทอดแก่บุตรซึ่งเป็นทายาท คือ จำเลย โจทก์ที่ 1 นางบุญช่วยมารดาโจทก์ที่ 2 นายยุ้ย เนื่องอัมพร และนายประยงค์ เนื่องอัมพร ในปี 2508 จำเลยซื้อที่ดินส่วนที่โจทก์ที่ 1 นางบุญช่วย นายยุ้ยและนายประยงค์มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งมรดก จำเลยชำระราคาค่าที่ดินให้แก่น้องทั้งสี่คนไปครบถ้วนแล้ว น้องทั้งสี่คนไม่คัดค้านที่จำเลยขอรับโอนทรัพย์มรดกส่วนของนายสุขโดยชื่อจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแต่เพียงผู้เดียว จำเลยครอบครองยึดถือที่ดินพิพาทเพื่อตนโดยครอบครองทำประโยชน์ทำนาทำสวนและทำไร่ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน มิได้ครอบครองที่ดินแทนทายาทนายสุข จำเลยเอาเงินของตนเองไปไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 6827 จากสหกรณ์โชควัฒนาไม่จำกัดสินใช้ ไม่เคยเอาเงินจากโจทก์ที่ 1 นางบุญช่วย และทายาทอื่นไปไถ่ถอนที่ดิน โจทก์ที่ 1 ปลูกบ้านพักอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทได้โดยอาศัยสิทธิของจำเลย ส่วนนางบุญช่วยหลังจากขายที่ดินส่วนของตนให้แก่จำเลยแล้วไม่เคยเข้ามาเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทอีกเลย จำเลยและนายเจ็กเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมได้ขอทำการรังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินในปี 2510 แยกเป็นที่ดินของจำเลยโฉนดเลขที่ 11829 เนื้อที่ประมาณ 47 ไร่ 19 ตารางวา ต่อมาจำเลยได้แบ่งขายที่ดินให้แก่นายใจ หอมมะลิ เนื้อที่ 4 ไร่1 งาน 68 ตารางวา กับถูกเวนคืนในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เนื้อที่21 ไร่ 41 ตารางวาและแบ่งแยกเป็นทางหลวงถนนสายลาดบัวหลวง – ไม้ตราเนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 10 ตารางวา เหลือส่วนของจำเลย 17 ไร่ 93 ตารางวาโจทก์ทั้งสองทราบและไม่ได้คัดค้านที่จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทมิใช่ทรัพย์มรดกของนายสุข โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีสิทธิฟ้องขอแบ่ง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสองข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ที่ 1 นางบุญช่วย และทายาทอื่นของนายสุขได้ขายส่วนของตนในที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยและจำเลยได้รับโอนโฉนดเป็นชื่อของจำเลยแต่เพียงผู้เดียวแล้ว การที่โจทก์ที่ 1 นางบุญช่วยและทายาทอื่นของนายสุขขายที่ดินพิพาทซึ่งเป็นมรดกของนายสุขส่วนของตนที่ได้รับดังกล่าวนั้น เป็นการแสดงเจตนาขายสิทธิในทรัพย์มรดกส่วนของทายาทแต่ละคนให้แก่จำเลยซึ่งเป็นทายาทคนหนึ่งของนายสุข และมีการโอนทางทะเบียนเป็นชื่อของจำเลยแล้ว ย่อมมีผลบังคับได้ตามกฎหมาย เนื่องจากทายาทแต่ละคนมีอำนาจขายทรัพย์มรดกส่วนของตนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 1745 ทั้งเป็นกรณีที่ถือได้ว่าโจทก์ที่ 1 จำเลย นางบุญช่วย และทายาทอื่นตกลงแบ่งทรัพย์สินโดยการขายทรัพย์มรดกแล้วเอาเงินที่ขายได้มาแบ่งปันกันระหว่างทายาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1750 วรรคหนึ่ง โดยไม่จำเป็นต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 456 วรรคหนึ่ง ดังที่โจทก์ทั้งสองฎีกา ดังนั้นโจทก์ทั้งสองจะมาฟ้องขอแบ่งมรดกในที่ดินพิพาทอีกไม่ได้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้วฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน