คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1942/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 4 เป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการเดินรถโดยสารประจำทาง จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 4 โดยจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นพนักงานเก็บเงินค่าโดยสาร จำเลยที่ 3 เป็นผู้ควบคุมรถ ได้ความว่าพนักงานขับรถซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 4 ขับรถเลี้ยวด้วยความเร็ว ทำให้โจทก์และผู้โดยสารอื่นตกจากม้านั่งการที่โจทก์ต่อว่าพนักงานขับรถเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่พอใจ และร่วมกันทำร้ายร่างกายของโจทก์จนได้รับอันตรายแก่กายนั้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนอกวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 4 ผู้เป็นนายจ้าง และมิใช่กิจการในหน้าที่ที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ได้รับมอบหมาย การกระทำดังกล่าวอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ จึงมิใช่เป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 4

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๔ เป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการเดินรถขนส่งต่าง ๆ เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถประจำทางสาย ๔๐ หมายเลขทะเบียน กท.จ -๓๖๔๖ และเป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ โดยจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ เป็นพนักงานเก็บเงินค่าโดยสาร จำเลยที่ ๓ เป็นผู้ควบคุมรถ เมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๑๗ เวลาประมาณ ๒๑.๑๕ นาฬิกา โจทก์ได้โดยสารรถยนต์ประจำทางกันดังกล่าวของจำเลยที่ ๔ จากถนนสุขุมวิท จะไปลงที่หน้าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พอมาถึงวงเวียนปทุมวันคนขับได้เลี้ยวซ้ายในขณะที่รถแล่นด้วยความเร็วสูง เป็นเหตุให้โจทก์และผู้โดยสารอื่นพลัดตกจากที่นั่ง โจทก์จึงต่อว่าคนขับว่าการขับรถเช่นนั้นจะทำให้คนโดยสารได้รับอันตรายซึ่งยังความไม่พอใจให้แก่จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ครั้นโจทก์จะลงจากรถที่หน้าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำเลยทั้งสามได้เดินตรงเข้ามาหาโจทก์แล้วร่วมทำร้ายโจทก์ โดยจำเลยที่ ๑ ใช้กระบอกตั๋วเก็บเงินค่าโดยสารตีศรีษะจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ร่วมกันชกต่อย โจทก์ได้รับบาดเจ็บคือ ศรีษะข้างซ้ายแตก หางตาขวา และใบหูซ้ายมีบาดแผล ขัดยอกตามลำตัว รักษาเป็นเวลา ๒๕ วัน เสียเงินค่ารักษารวมทั้งค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เป็นเงิน ๕,๐๐๐ บาท โจทก์มีอาชีพเป็นครูขาดรายได้ในการจ้างสอนพิเศษคิดเป็นเงิน ๒,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ผู้ทำละเมิด จำเลยที่ ๔ เจ้าของผู้ครอบครองรถประจำทางของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ต้องร่วมรับผิดซึ่งจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ในทางการที่จ้าง จึงขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหาย ๗,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน ๗,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสี่จะใช้เงินเสร็จ
จำเลยที่ ๔ ให้การว่าไม่ได้เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถคันหมายเลขทะเบียน กท.จ – ๓๖๔๖ ทั้งจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ก็ไม่ได้เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๔ การที่จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ร่วมกันทำร้ายร่างกายโจทก์นั้น ไม่ได้กระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๔ เพราะจำเลยที่ ๔ มีวัตถุประสงค์เพียงแต่เดินรถรับส่งผู้โดยสารเท่านั้น โจทก์เสียหายไม่เกิน ๑,๐๐๐ บาท และโจทก์เสียหายเนื่องจากเหตุที่เกิดนอกทางการที่จ้าง จำเลยที่ ๔ ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ เนื่องจากหาที่อยู่ไม่พบ ศาลชั้นต้นอนุญาต
วันนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยที่ ๔ แถลงรับว่าตามทะเบียนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน กท. จ -๓๖๔๖ (รถประจำทาง) มีชื่อจำเลยเป็นเจ้าของโดยเป็นรถมาวิ่งร่วมซึ่งจำเลยที่ ๔ ได้ผลประโยชน์ จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ เป็นเจ้าหน้าที่เก็บเงินโดยสาร ส่วนจำเลยที่ ๓ เป็นผู้ควยคุมรถคันนี้และเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๔ จริง แต่ต่อสู้ว่าจำเลยทั้งสามดังกล่าวทำร้ายโจทก์ไม่อยู่ในทางการที่จ้างสำหรับค่าเสียหายคู่ความตกลงกันจำนวน ๒,๐๐๐ บาท ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้วจึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ถูกทำร้ายเนื่องจากจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ กระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๔ พิพากษาให้จำเลยที่ ๔ ชำระค่าเสียหาย ๒,๐๐๐ บาท
จำเลยที่ ๔ อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ กระทำนอกทางการที่จ้าง จำเลยที่ ๔ จึงไม่ต้องรับผิด
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ไม่ได้กระทำละเมิดโจทก์ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๔ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกาว่าโจทก์ถูกทำร้ายเนื่องจากจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ กระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๔ จำเลยที่ ๔ ต้องรับผิด
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาคดีแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่าจำเลยที่ ๔ เป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการเดินรถขนส่ง เป็นเจ้าของรถโดยสารประจำทางคันหมายเลขทะเบียน กท.จ -๓๖๔๖ แล่นรับส่งคนโดยสารระหว่างสถานีขนส่งสายใต้กับสถานขนส่งสายตะวันออก จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ เป็นพนักงานเก็บเงินค่าโดยสาร จำเลยที่ ๓ เป็นผู้ควบคุมรถ จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๔ โจทก์โดยสารประจำทางดังกล่าวจากถนนสุขุมวิทจะไปลงที่หน้าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พอถึงวงเวียนปทุมวันพนักงานขับรถซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๔ ขับรถเลี้ยวซ้ายด้วยความเร็ว เป็นเหตุให้โจทก์และผู้โดยสารอื่นเซตกจากม้านั่ง โจทก์ต่อว่าคนขับ ครั้นถึงหน้าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโจทก์จะลงจากรถ จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ เดินมาหาโจทก์แล้วร่วมกันทำร้ายร่างกายโจทก์บนรถโดยสาร จนได้รับอันตรายแก่กาย ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ ๔ มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการเดินรถประจำทางแล่นรับส่งผู้โดยสารโดยมีจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ เป็นลูกจ้าง ทำหน้าที่เก็บเงินค่าโดยสาร จำเลยที่ ๓ เป็นผู้ควบคุมรถ ทั้งนี้ เพื่อให้กิจการของจำเลยที่ ๔ ดำเนินไปได้ตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว เพื่อให้เกิดผลประโยชน์แก่จำเลยที่ ๔ เอง การที่โจทก์ต่อว่าพนักงานขับรถจนเป็นเหตุให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ไม่พอใจ และร่วมกันทำร้ายร่างกายโจทก์นั้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่างหากนอกเหนือวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ ๔ ผู้เป็นนายจ้าง และมิใช่กิจการในหน้าที่ที่จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ได้รับมอบหมาย การกระทำดังกล่าวอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ จึงหาใช่เป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๔ ไม่ จำเลยที่ ๔ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share