คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1940/2546

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินและบ้านพิพาทว่าจำเลยขายฝากที่ดินพร้อมบ้านพิพาทแก่โจทก์และพ้นกำหนดไถ่ถอนแล้ว ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นสามีของจำเลย จำเลยขายฝากที่ดินและบ้านพิพาทซึ่งเป็นสินสมรสโดยมิได้รับความยินยอมจากผู้ร้องขอให้เพิกถอนสัญญาขายฝาก ดังนี้แม้ศาลจะพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารก็ไม่กระทบสิทธิของผู้ร้องในฐานะคู่สมรสที่ยังคงมีอยู่ในกรณีที่มีการขายฝากของโจทก์จำเลยตามที่ผู้ร้องอ้าง สิทธิของผู้ร้องสอดจะมีอยู่เพียงใด ก็คงมีอยู่เพียงนั้นคำร้องของผู้ร้องจึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 48 เนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 28 ตารางวา พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้เลขที่ 3/4 ซึ่งซื้อฝากมาจากจำเลยและพ้นกำหนดไถ่ถอนแล้ว จำเลยขออาศัยอยู่ได้ระยะหนึ่งโจทก์เรียกให้จำเลยมาทำสัญญาเช่า แต่จำเลยไม่ยอมทำ โจทก์จึงมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินและบ้านของโจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและบ้านของโจทก์

จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องกับจำเลยเป็นสามีภรรยากันจดทะเบียนสมรสเมื่อปี 2523 ที่ดินและบ้านพิพาทเป็นทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างสมรสที่ต้องจัดการร่วมกันจำเลยนำที่ดินและบ้านพิพาทไปขายฝากให้แก่โจทก์ โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ร้องเป็นการจัดการสินสมรสที่ฝ่าฝืนกฎหมาย จึงเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับในส่วนของผู้ร้องครึ่งหนึ่ง โจทก์ต้องคืนให้แก่ผู้ร้องทั้งหมดหรืออย่างน้อยครึ่งหนึ่ง จึงเป็นการจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย จึงร้องสอดเข้ามาเพื่อขอให้ศาลพิพากษาว่าสัญญาขายฝากระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะให้เพิกถอนสัญญาขายฝาก ให้ที่ดินและบ้านพิพาทกลับคืนมาเป็นของผู้ร้อง

ศาลชั้นต้นตรวจคำร้องแล้วมีคำสั่งว่า คำร้องของผู้ร้องไม่มีเหตุตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) จึงไม่รับคำร้อง

ผู้ร้องสอดอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

ผู้ร้องสอดฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยพร้อมบริวารออกจากที่ดินและบ้าน แม้ศาลจะพิพากษาให้ขับไล่จำเลยพร้อมบริวารก็จะไม่กระทบถึงสิทธิของผู้ร้องสอดในฐานะคู่สมรสในกรณีขายฝากของโจทก์จำเลยตามที่ผู้ร้องสอดอ้างสิทธิของผู้ร้องสอดจะมีอยู่เพียงใดก็คงมีอยู่เพียงนั้น กรณีตามคำร้องของผู้ร้องสอดจึงมิใช่เป็นการจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นว่า คำร้องของผู้ร้องสอดไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) นั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของผู้ร้องสอดฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share