คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1937/2522

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ยิง 4-5 นัด เจตนาฆ่า ก. กระสุนถูก ก. ตาย ถูก ส. อันตรายสาหัส เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 288 กับมาตรา 288,80 อีกบทหนึ่งคำพิพากษาต้องอ้างความผิดทั้ง 2 บท ให้ลงโทษตาม มาตรา 288 บทหนัก
คำให้การชั้นสอบสวนของพยานโจทก์ที่ได้ตัวมาเบิกความ และที่ไม่ได้ตัวมาเบิกความเพราะติดตามตัวไม่พบ ระบุชื่อผู้ยิงว่านายประทีป สุขเกษม มาในชั้นศาลพยานโจทก์ว่าคนยิงไม่ใช่จำเลย แต่เป็นคนในร้านตัดเสื้อที่ชื่อประทีป แต่ไม่ทราบนามสกุล ศาลรับฟังได้ว่านายประทีป สุขเกษม จำเลยคือผู้ยิงตามฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ลงวันที่ 8 เดือนมกราคม พุทธศักราช 2522
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2517 เวลากลางวันจำเลยนี้บังอาจใช้ปืนพกเป็นอาวุธยิงนายกระจ่างและนายสมศักดิ์ หลายนัดโดยเจตนาฆ่า กระสุนปืนถูกนายกระจ่าง ที่กลางหลังและลำตัวหลายแห่งเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายทันที ส่วนนายสมศักดิ์ ถูกกระสุนปืนได้รับอันตรายแก่กาย เพราะจำเลยยิงไม่แม่น กระสุนปืนไม่ถูกอวัยวะสำคัญ จึงไม่ถึงแก่ความตาย เหตุเกิดที่ตำบลหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาเจ้าพนักงานจับจำเลยได้เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2520 ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80
จำเลยให้การปฏิเสธ
นายคีม บิดาของนายกระจ่าง ผู้ตายขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ลงโทษจำคุก 20 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า เหตุเกิดที่ร้านตัดเสื้อผ้าชื่อร้าน “ชัวร์” ของนายกั้ง ซึ่งอยู่ที่หน้าโรงภาพยนต์หาดใหญ่ราม่า ในวันเกิดเหตุ นายสมศักดิ์ช่างตัดเสื้อกางเกงกำลังทำงานอยู่ที่โต๊ะ ซึ่งตั้งอยู่หน้าร้านด้านตะวันตก นายประทีป ช่างตัดเสื้อผ้าทำงานอยู่ที่โต๊ะ ซึ่งตั้งอยู่หน้าร้านด้านตะวันออก ครั้นเวลาประมาณ 15 นาฬิกานายภักดิ์ ลูกค้าของร้านเข้ามาในร้านเพื่อตัดกางเกง หลังจากนั้น นายกระจ่าง ซึ่งเป็นลูกค้าของร้านนี้เหมือนกันได้เข้ามาหานายภักดิ์ซึ่งเป็นเพื่อนได้มานั่งคุยกับนายภักดิ์ที่โต๊ะของนายกั้งซึ่งตั้งอยู่กลางร้านคุยกันประมาณ15 นาที นายประทีปก็เข้ามาคุยกับนายกระจ่างแล้วเกิดโต้เถียงกัน เพราะนายกระจ่างหาว่านายประทีบแกล้งให้หญิงซึ่งนายกระจ่างฝากให้ทำงานที่ร้านนี้ต้องออกไป และนายประทีปพูดว่านายกระจ่างจ้างคนให้มาตีศีรษะตนนายกระจ่างก็ว่าถ้าเขาจ้างคนมาตีศีรษะเขาตีเองไม่ดีกว่าหรือ โต้เถียงกันราว 15 นาทีแล้วนายกระจ่างก็ออกไปทางหน้าร้านแล้วมีเสียงปืนดังขึ้นนัดหนึ่งกระสุนปืนถูกที่ต้นขานายสมศักดิ์ นายสมศักดิ์วิ่งเข้าร้านและหน้ามืดล้มลงขณะนั้นในมือนายประทีปถือปืนสั้นอยู่วิ่งไล่ยิงนายกระจ่างในร้าน “ชัวร์” และวิ่งไล่ยิงออกไปนอกร้านด้วยรวม 4 – 5 นัด นายกระจ่างถูกกระสุนปืนที่บริเวณหน้าอก หลัง หัวไหล่และรักแร้กับยังมีแผลที่นิ้วและศีรษะด้วย ล้มลงนอนอยู่ที่หน้าร้านไอศกรีมของนายศุภชัย ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับร้าน “ชัวร์” นายกั้งจัดการให้นำนายสมศักดิ์และนายกระจ่างไปส่งโรงพยาบาล นายกระจ่างถึงแก่ความตายวันนั้นเองเวลา 16.45 นาฬิกา ส่วนบาดแผลของนายสมศักดิ์นั้นแพทย์เห็นว่าต้องรักษาประมาณ 15 วัน นายประทีปหลบหนีไปตั้งแต่วันเกิดเหตุร้อยตำรวจเอกจำเริญ ออกหมายจับตั้งแต่วันที่ 13 สิงหาคม 2517 จนกระทั่งวันที่ 11 เมษายน 2520 พลตำรวจประเจน กับพวกจึงจับจำเลยได้

จำเลยนำสืบว่า จำเลยทำงานก่อสร้างร่วมกับบิดาซึ่งเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างในระหว่างเกิดเหตุจำเลยทำงานก่อสร้างอยู่ที่โรงเรียน วัดยูงทอง ตำบลท่าช้างอำเภอหาดใหญ่ จำเลยไม่รู้จักร้าน “ชัวร์” ไม่เคยทำงานรับจ้างตัดเสื้อผ้าที่ร้านนั้น ไม่รู้จักผู้ตายและพยานโจทก์ ถูกจับในขณะกระทำการก่อสร้างโรงเรียนบ้านหาร
พิเคราะห์แล้ว โจทก์มีประจักษ์พยานนำสืบ 3 ปาก คือ นายสมศักดิ์ ผู้เสียหาย นายกั้ง เจ้าของร้านตัดเสื้อผ้า “ชัวร์” และนายศุภชัย เจ้าของร้านไอศกรีมราม่า พยานซึ่งรู้เห็นเหตุการณ์ ยังมีนายภักดิ์ เพื่อนของนายกระจ่าง นางสาวมาลี ลูกจ้างร้านขายไอศกรีมราม่านางสาวดวงพร ลูกจ้างร้านขายไอศกรีมราม่า และนายสมปอง ลูกจ้างของร้านตัดเสื้อผ้า “ชัวร์” โจทก์ได้อ้างบุคคลทั้งสี่นี้เป็นพยานด้วย ได้พยายามส่งหมายเรียกแล้วแต่ไม่สามารถส่งให้ได้เพราะไม่ทราบที่อยู่แน่นอน โจทก์จึงยื่นคำให้การชั้นสอบสวนของพยานดังกล่าวต่อศาล คำให้การพยานที่ไม่ได้ตัวมาสืบนั้นก็ดี คำให้การชั้นสอบสวนของนายสมศักดิ์ และนายกั้ง ก็ดี ปรากฏว่าพยานเหล่านี้ได้ให้การหลังจากเกิดเหตุแล้วใหม่ ๆก่อนที่จำเลยจะถูกจับเกือบ 3 ปีกล่าวคือ นายกั้ง นายภักดิ์ นางสาวมาลี นางสาวดวงพร และนายสมปอง ให้การในวันที่ 14 กรกฎาคม 2517 ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุนั้นเอง ส่วนนายสมศักดิ์ให้การเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2517 คำให้การเหล่านี้สอดคล้องกันจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ จากคำเบิกความของประจักษ์พยานประกอบกับคำให้การชั้นสอบสวนของพยานดังกล่าว ฟังได้ว่านายประทีปซึ่งเป็นช่างตัดเสื้อกางเกงของร้าน “ชัวร์” ใช้ปืนพกเป็นอาวุธยิงนายกระจ่างผู้ตายคดีนี้โดยมีเจตนาฆ่า และกระสุนปืนนัดแรกได้พลาดไปถูกนายสมศักดิ์ผู้เสียหายที่โคนขาได้รับอันตรายแก่กาย ส่วนนายกระจ่างถึงแก่ความตายในวันนั้นเอง แต่เนื่องจากในชั้นพิจารณาพยานโจทก์ 3 ปาก ดังกล่าวกลับไม่รับรองว่า นายประทีป สุขเกษม จำเลยนี้คือนายประทีป ซึ่งเป็นผู้ยิงนายกระจ่างคดีจึงมีปัญหาแต่เพียงว่า นายประทีป ช่างตัดเสื้อกางเกงของร้าน “ชัวร์” ซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดคดีนี้จะเป็นจำเลยนี้หรือว่าเป็นบุคคลอื่น
นายสมศักดิ์เบิกความว่า ในร้าน “ชัวร์” มีลูกจ้างรวมประมาณ 40 คนช่างที่ประจำหน้าที่ตัดและเย็บ 22 คน ช่างตัดประมาณ 5 – 6 คน ช่างเย็บ17 คน ช่างตัดมีนายกั้ง นายแนม นายฉะอ้อน นายสมปอง นายบิ้น และตัวนายสมศักดิ์เอง ช่างเย็บทำงานอยู่ชั้นบน ช่างตัดอยู่ชั้นล่าง ใครยิงพยานไม่ทราบ ในชั้นสอบสวนพยานไม่ได้ให้การว่า นายประทีปเป็นลูกจ้างในร้านของนายกั้ง ในห้องพิจารณาไม่มีใครที่เป็นช่างในร้าน “ชัวร์” ในร้าน “ชัวร์”ขณะเกิดเหตุมีคนชื่อประทีป 2 คน ซึ่งพยานไม่ทราบนามสกุล ที่พยานให้การในชั้นสอบสวนเพิ่มเติมว่า นายประทีปเป็นคนยิงนั้นเป็นคนในร้าน “ชัวร์” เป็นช่างเย็บอยู่ชั้นบน แต่ไม่ใช่จำเลยนี้ จำเลยนี้พยานไม่รู้จัก นายกั้งพยานโจทก์เบิกความว่า มีลูกจ้างประจำร้าน 10 กว่าคน เป็นช่างตัด 3 คน ช่างเย็บ 6 – 7 คน คนคอยต้อนรับลูกค้า 3 คน พยานเองก็เป็นช่างตัด ช่างเย็บอยู่ชั้นบนช่างตัดอยู่ชั้นล่าง นายสมศักดิ์กับนายประทีปเป็นช่างตัดตั้งโต๊ะทำงานอยู่หน้าร้าน แต่นายประทีปที่พยานกล่าวถึงนี้ไม่มีในห้องพิจารณา ช่างเย็บที่อยู่ชั้นบนเท่าที่นึกได้มีนายสมปอง นายเติม นายประทีป นายโสด นายบิ้น และนายทิพย์ แต่นายประทีปที่เป็นช่างเย็บก็ไม่มีในห้องพิจารณาอีกเช่นกัน นายประทีปคนที่เข้าไปคุยกับนายกระจ่างผู้ตายก่อนจะเกิดยิงกันนั้นจะเป็นนายประทีปคนไหนพยานจำไม่ได้แน่ นายประทีปคนที่ยิงปืนจะเป็นช่างตัดหรือช่างเย็บจำไม่ได้แน่ส่วนนายศุภชัย พยานโจทก์เบิกความว่า เมื่อเสียงปืนเงียบแล้ว มีชายคนหนึ่งถือปืนสั้นวิ่งเข้ามาในร้านไอศกรีมของพยาน วิ่งผ่านพยานในระยะห่างราว 4เมตร ออกไปทางประตูหลังร้าน จำได้ว่าเป็นช่างประจำร้าน “ชัวร์” ทราบชื่อภายหลังว่าชื่อประทีป แต่ไม่มีอยู่ในห้องพิจารณา จำเลยนี้พยานไม่รู้จัก คำเบิกความของนายสมศักดิ์กับนายกั้งนอกจากจะขัดกันเองและส่อพิรุธแล้วเมื่อพิจารณาดูคำให้การชั้นสอบสวนของนายกั้งพยานโจทก์ ปรากฏว่าคนงานในร้าน “ชัวร์” ของนายกั้งนี้หาได้มีมากมายและมีชื่อซ้ำกันดังที่นายสมศักดิ์และนายกั้งเบิกความไม่ เพราะนายกั้งให้การในชั้นสอบสวนไว้ชัดเจนว่ามีคนงานทั้งหมดเพียง 8 คน เป็นช่างตัด 2 คน คือนายสมศักดิ์ และนายประทีป ไม่ทราบนามสกุล ช่างเย็บมี 6 คน คือนายเติม นายเซ่งผิ้น นายโสด นายสมปอง กับนายอ้วนและนายคม ซึ่งพยานไม่ทราบนามสกุลเท่านั้น และตามคำให้การชั้นสอบสวนของนายสมศักดิ์ นายกั้งและนายสมปอง ประกอบกันได้ความว่านายประทีปซึ่งเป็นช่างตัดเสื้อกางเกงของร้านนี้มีเพียงคนเดียว ตั้งโต๊ะทำงานอยู่หน้าร้านคู่กับนายสมศักดิ์และเป็นผู้กระทำความผิดคดีนี้ หาใช่ว่ามีนายประทีปอีกคนหนึ่งซึ่งทำหน้าที่เป็นช่างเย็บอยู่ชั้นบนดังที่นายสมศักดิ์ และนายกั้งพยานเบิกความแต่งเติมขึ้นใหม่ไม่ ปัญหาจึงเหลือแต่ว่า นายประทีป ช่างตัดของร้าน”ชัวร์” นั้นจะเป็นคนเดียวกับนายประทีป สุขเกษม จำเลยนี้หรือไม่
ปรากฏว่า ตามรายงานการชันสูตรพลิกศพ ลงวันที่ 14 กรกฎาคม2517 ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ กรอกชื่อผู้ที่ทำให้นายกระจ่างตายว่านายประทีป สุขเกษม คำให้การชั้นสอบสวนของนายสมศักดิ์ ก็ระบุชื่อและนามสกุลของผู้ที่ถือปืนสั้นวิ่งไล่นายกระจ่างว่า นายประทีป สุขเกษม และคำให้การชั้นสอบสวนของพยานทุกปากตั้งแต่ที่เริ่มสอบสวนในวันเกิดเหตุเป็นต้นมา ก็ล้วนแต่กรอกชื่อผู้ต้องหาว่า นายประทีป สุขเกษม ทุกปาก เป็นพยานหลักฐานอันแสดงว่าพนักงานสอบสวนทราบว่า ผู้กระทำความผิดคดีนี้ชื่อนายประทีป สุขเกษม ตั้งแต่วันเกิดเหตุก่อนจับจำเลยได้ จำเลยเองก็มิได้ปฏิเสธว่านามสกุลของจำเลยไม่ใช่สุขเกษม ไม่มีเหตุผลที่จะระแวงสงสัยว่าจำเลยจะเป็นคนละคนกับผู้ต้องหาที่พยานให้การถึงในชั้นสอบสวน ที่พยานโจทก์เบิกความว่า นายประทีปคนที่ยิงนายกระจ่างไม่มีในห้องพิจารณาของศาล จำเลยนี้พยานโจทก์ไม่รู้จักนั้นก็มีเหตุผลที่ส่อว่าพยานพยายามเบี่ยงบ่ายไม่ยอมยืนยันว่า ผู้กระทำความผิดคือจำเลยนี้มาตั้งแต่ก่อนจำเลยถูกฟ้องเพราะนายสมศักดิ์และนายกั้งเริ่มแสดงท่าทีเช่นนี้มาตั้งแต่ชั้นสอบสวนแล้วกล่าวคือ เมื่อจับจำเลยได้และพนักงานสอบสวนนำเข้าปะปนกับคนอื่นอีก11 คนให้นายสมศักดิ์และนายกั้งชี้ตัวว่าคนไหนคือนายประทีป สุขเกษมคนทั้งสองก็ว่าจำหน้านายประทีป สุขเกษม ไม่ได้เสียแล้ว เพราะไม่สนิทสนมกับนายประทีป สุขเกษม และนายประทีป สุขเกษม ตอนที่ตนรู้จักนั้นไว้ผมยาวแต่ชาย 12 คนที่ให้ดูนี้ล้วนแต่ไว้ผมสั้น แม้กระนั้นก็ขอยืนยันว่าคนร้ายที่ยิงนายกระจ่างชื่อนายประทีป สุขเกษม ซึ่งตนจำหน้าไม่ได้เสียแล้วข้ออ้างของพยานทั้งสองนี้ไม่น่าเชื่อ เพราะนายประทีปผู้กระทำความผิดคดีนี้ทำงานอยู่กับพยานมานานถึง 2 เดือนเศษ มีหน้าที่สำคัญโดยเป็นช่างตัดคู่กับนายสมศักดิ์เพียงแต่เปลี่ยนจากไว้ผมยาวเป็นตัดผมสั้นจะทำให้คนทำงานด้วยกันจำไม่ได้นั้นย่อมไร้เหตุผล ส่วนพยานฐานที่อยู่ของจำเลยซึ่งจำเลยอ้างลูกจ้างของบิดาจำเลยเป็นพยานนั้นก็ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ คดีฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่า จำเลยเป็นผู้กระทำความผิดตามฟ้อง แต่ที่ศาลชั้นต้นปรับบทว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 เพียงมาตราเดียวนั้นยังไม่ถูกต้อง เพราะกระสุนปืนที่จำเลยยิงนายกระจ่าง ได้พลาดไปถูกนายสมศักดิ์ อีกด้วย

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 บทหนึ่ง กับมาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 60 และ 80 อีกบทหนึ่ง ลงโทษจำเลยตามมาตรา 288 อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ให้จำคุกจำเลย 20 ปี

Share