แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของป่าช้าซึ่งสาธารณชนใช้เผาและฝังศพมานานหลายสิบปีแล้ว จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกัน แม้ต่อมาทางการจะไม่ให้เผาและฝังศพอีก ได้มีการล้างป่าช้าและสร้างสำนักงานราชการขึ้นแต่ก็ไม่ปรากฏว่าได้มีการออกพระราชกฤษฎีกาให้ถอนสภาพที่ดินจากป่าช้าสาธารณะสำหรับสาธารณชนใช้ร่วมกันตามมาตรา 8 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ดังนั้น แม้สาธารณชนจะเลิกใช้บริเวณที่พิพาทเป็นป่าช้าที่พิพาทก็ยังคงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 ทางราชการจะออกโฉนดหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่พิพาทให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้จับจองครอบครองที่ดินที่ตำบลประจวบคีรีขันธ์อำเภอเมืองฯ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ๑ แปลง ได้แจ้งการครอบครองและได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้วโจทก์ได้ยื่นขอรังวัดเพื่อออกโฉนดจำเลยได้สั่งให้สอบสวนว่าที่โจทก์เป็นที่สาธารณะหรือป่าช้าหรือไม่ และได้สั่งให้ยกเลิกการรังวัดกับยกเลิกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์เสียจำเลยได้ใช้รถเกรดที่ดินของโจทก์ โดยอ้างว่าเป็นป่าช้า โจทก์ห้ามก็ไม่ฟังจึงขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องให้จำเลยลงชื่อประทับตราประจำตำแหน่งในโฉนดที่ดินของโจทก์ให้มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งที่จำเลยให้ถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์หากจำเลยไม่จัดการก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลยให้การว่า ที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของป่าช้าบ้านค่ายอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์หรือตัวแทนมิได้เข้าจับจองหรือครอบครองที่พิพาท หากศาลฟังว่าที่พิพาทมิใช่ที่สาธารณะที่พิพาทก็เป็นที่รกร้างว่างเปล่า ตกเป็นของรัฐ แบบแจ้งการครอบครองและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ออกให้โจทก์โดยมิชอบ เมื่อคณะกรรมการสอบสวนสภาพที่ดินได้ลงมติว่าที่พิพาทเป็นที่ป่าช้าสาธารณะจำเลยจึงได้งดการออกโฉนดและแจ้งให้นายอำเภอยกเลิกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายโดยชอบ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า ที่พิพาทไม่ใช่ป่าช้าสาธารณะพิพากษากลับเป็นว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง และให้จำเลยลงชื่อประทับตราประจำตำแหน่งในโฉนดที่ดินของโจทก์กับให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้ถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่พิพาทหากจำเลยไม่จัดการให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของป่าช้าบ้านค่ายและวินิจฉัยว่าเขตที่ดินป่าช้านี้สาธารณชนทั่ว ๆ ไปใช้เผาและฝังศพมานานหลายสิบปีแล้ว จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกัน แม้ต่อมาทางการจะไม่ให้เผาและฝังศพอีก ได้มีการล้างป่าช้าและสร้างเป็นสำนักงานราชการขึ้นแต่ก็ไม่ปรากฏว่าได้มีการออกพระราชกฤษฎีกาให้ถอนสภาพที่ดินจากป่าช้าสาธารณะสำหรับสาธารณชนใช้ร่วมกันตามความในมาตรา ๘ วรรค ๒ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ดังนั้น ถึงแม้สาธารณชนจะเลิกใช้บริเวณที่พิพาทเป็นป่าช้าที่พิพาทก็ยังคงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๔ ทางราชการจะออกโฉนดหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่พิพาทให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนไม่ได้
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น