คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1931/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าเช่า ค่าบำรุงรักษา ค่าใช้บริการโทรศัพท์และค่าเครื่องโทรศัพท์ถอนคืนไม่ได้พร้อมดอกเบี้ยเป็นเงิน 8,245บาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามป.วิ.พ. มาตรา 224 และ มาตรา 248 แม้หัวข้อเรื่องหนังสือที่โจทก์มีถึงจำเลยจะเป็นเรื่องขอให้จำเลยชำระค่าเช่าโทรศัพท์ แต่เนื้อความในหนังสือก็ได้ระบุว่าจำเลยค้างชำระค่าเช่าเป็นเงินจำนวนเท่าใดอย่างชัดแจ้ง ทั้งระบุไว้ด้วยว่าได้บอกเลิกสัญญาเช่าไปแล้ว หลังจากจำเลยได้รับหนังสือดังกล่าว ไม่ปรากฏว่าได้โต้แย้งทักท้วงต่อโจทก์ประการใดถือได้ว่าโจทก์บอกเลิกการเช่าโทรศัพท์แก่จำเลยโดยชอบแล้ว.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2497 จำเลยได้ทำสัญญาเช่าโทรศัพท์กับโจทก์ติดตั้ง ณ บ้านเลขที่ 14/22 ซอยประดู่ ถนนเจริญกรุง แขวงบางคอแหลม เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร ได้หมายเลข2892864 ต่อมาจำเลยค้างชำระค่าเช่า ค่าบำรุงรักษาและค่าใช้บริการโทรศัพท์กับค่าเครื่องโทรศัพท์ที่โจทก์ถอนกลับคืนไม่ได้ โจทก์ทวงถามแล้วแต่จำเลยไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน8,245 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 7,370 บาทนับถัดจากวันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเช่าโทรศัพท์หมายเลข 2892864 จากโจทก์จริง แต่ต่อมาปลายปี 2527 จำเลยได้โอนโทรศัพท์เครื่องนี้ให้แก่บริษัททำปลาป่นและย้ายเครื่องโทรศัพท์ไปติดตั้งที่บ้านเลขที่597/63 ซอยอยู่ดี แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาจึงถือว่าสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยยังไม่เลิกกัน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 7,370 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2529 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าเช่าค่าบำรุงรักษา ค่าใช้บริการโทรศัพท์และค่าเครื่องโทรศัพท์ถอนคืนไม่ได้พร้อมดอกเบี้ยเป็นเงินทั้งสิ้นเพียง 8,245 บาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 และมาตรา 248 คงมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยชั้นนี้เพียงว่า โจทก์บอกเลิกการเช่าโทรศัพท์แก่จำเลยชอบแล้วหรือไม่ ข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองรับฟังมาเป็นที่ยุติว่า จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่14/22 ซอยประดู่ ถนนเจริญกรุง แขวงบางคอแหลม เขตยานนาวากรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2521 จำเลยใช้บ้านเลขที่ดังกล่าวในการติดต่อขอใช้บริการโทรศัพท์หมายเลข 2892864 กับโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.2 ต่อมาวันที่ 27 มกราคม 2527 จำเลยขอย้ายโทรศัพท์ดังกล่าวไปติดตั้งที่บ้านเลขที่ 597/63 ตรอกวัดจันทร์ในซอยอยู่ดีตัดใหม่ ถนนเจริญกรุง แขวงบางโคล่ เขตยานนาวากรุงเทพมหานคร ตามเอกสารหมาย จ.9 ปรากฏว่ามีการค้างค่าเช่า ค่าบำรุงรักษา และค่าใช้บริการโทรศัพท์เป็นเงินจำนวนตามฟ้อง โจทก์จึงมีหนังสือฉบับลงวันที่ 19 มีนาคม 2529 บอกเลิกการเช่าโทรศัพท์ดังกล่าวไปยังจำเลยที่บ้านเลขที่ 597/63 ดังที่กล่าวแล้วแต่ส่งให้จำเลยไม่ได้ ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.4 และ จ.5 ต่อมา วันที่28 เมษายน 2529 โจทก์ประกาศเลิกการเช่าหมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวโดยปิดประกาศที่ชุมสายทุกแห่งของโจทก์ในกรุงเทพมหานครและวันที่ 31 กรกฎาคม 2530 โจทก์มีหนังสือไปยังจำเลยที่บ้านเลขที่14/22 อันเป็นภูมิลำเนาของจำเลยในการขอใช้บริการกับโจทก์ครั้งแรกให้จำเลยชำระหนี้ที่ค้าง มิฉะนั้น โจทก์จะดำเนินการตามกฎหมายปรากฏตามเอกสารหมาย จ.7 ได้ความดังกล่าว เห็นว่า การที่จำเลยได้แจ้งย้ายโทรศัพท์ไปติดตั้งใหม่ที่บ้านเลขที่ 597/63 ดังกล่าวข้างต้นตามเอกสารหมาย จ.9 นั้น ในคำขอย้ายดังกล่าวของจำเลยข้อ 18ระบุว่า ระหว่างดำเนินการจะติดต่อกับจำเลยได้ที่บ้านเลขที่597/63 กรณีถือว่าจำเลยใช้บ้านเลขที่ดังกล่าวแล้วเป็นภูมิลำเนาเฉพาะการในการติดต่อเรื่องโทรศัพท์กับโจทก์อีกแห่งหนึ่งด้วยและแม้โจทก์จะส่งหนังสือบอกเลิกการเช่าโทรศัพท์ไปยังจำเลยที่บ้านเลขที่ดังกล่าวแล้วไม่ได้ก็ตาม แต่ต่อมาโจทก์ก็ได้มีหนังสือเอกสารหมายจ.7 ไปยังจำเลยที่บ้านเลขที่ 14/22 ข้างต้นอันเป็นภูมิลำเนาเดิมของจำเลยอีก และก็ส่งได้เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2530 ตามเอกสารหมาย จ.8 แม้หัวข้อเรื่องหนังสือจะเป็นเรื่องขอให้จำเลยชำระค่าเช่าโทรศัพท์ แต่เนื้อความในหนังสือดังกล่าวก็ได้ระบุว่าจำเลยค้างชำระค่าเช่าเป็นเงินจำนวนเท่าใดอย่างชัดแจ้ง ทั้งระบุไว้ด้วยว่าได้บอกเลิกสัญญาเช่าไปแล้ว หลังจากวันที่จำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวจนกระทั่งถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2531 ซึ่งเป็นวันโจทก์ฟ้องจำเลยคดีนี้เป็นเวลาถึง 5 เดือน ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้โต้แย้งทักท้วงต่อโจทก์ประการใด และตามหนังสือขอใช้บริการโทรศัพท์ที่จำเลยขอต่อโจทก์เอกสารหมาย จ.2 ข้อ 7 ระบุไว้ว่า เมื่อผู้เช่าไม่ชำระค่าเช่าและค่าใช้โทรศัพท์ ฯลฯ โจทก์มีสิทธิที่จะงดการให้บริการและถอนเครื่องโทรศัพท์พร้อมทั้งอุปกรณ์อื่น ๆ เสียก็ได้จึงถือได้ว่าโจทก์ได้บอกเลิกการเช่าโทรศัพท์แก่จำเลยโดยชอบแล้ว ส่วนที่จำเลยฎีกาอีกว่าหนังสือบอกเลิกการเช่า เอกสารหมาย จ.6 เป็นเรื่องภายในของโจทก์ เป็นการบอกเลิกการเช่าที่ไม่ชอบนั้น เห็นว่า ศาลฎีกามิได้หยิบยกเอาหนังสือบอกเลิกการเช่าของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.6มาเป็นข้อวินิจฉัยในประเด็นเรื่องบอกเลิกการเช่าของโจทก์แก่จำเลยชอบหรือไม่ประการใดฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว”
พิพากษายืน.

Share