แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยหลอกลวงผู้เสียหาย 7 คนในคราวเดียวกัน แม้ผู้เสียหายแต่ละคนจะมอบเงินให้แก่จำเลยคนละคราวกันก็เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายบทเดียว ไม่ใช่เป็นการกระทำความผิดหลายกรรม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๓๔๑, ๓๔๓ พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๑๑ มาตรา ๗, ๒๗ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินจำนวน ๑๕๒,๐๐๐ บาท แก่ผู้เสียหายและให้นับโทษของจำเลยที่ ๒ ในคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ ๑๑๖๐๖/๒๕๒๖ หมายเลขแดงที่ ๒๗๕๘๗/๒๕๒๗ ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ ๒ รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๑๑๖๐๖/๒๕๒๖ ของศาลชั้นต้นจริง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๓, ๘๓ พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๑๑ มาตรา ๗ ซึ่งเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษ ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ๗ กระทง ปรับจำเลยที่๑ กระทงละ ๒,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๑๔,๐๐๐ บาท จำคุกจำเลยที่ ๒กระทงละ ๑ ปี รวมเป็นโทษจำคุก ๗ ปี ความผิดฐานจัดหางานโดยเรียกหรือรับค่าบริการโดยมิได้รับอนุญาต ปรับจำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๑,๐๐๐ บาท จำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๑ เดือน รวมโทษปรับจำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๑๕,๐๐๐ บาทและจำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๗ ปี ๑เดือน คำเบิกความของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้างมีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ ๑ ใน ๕ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๗๘ คงปรับจำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๑๒,๐๐๐ บาท จำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๕ ปี ๘ เดือน นับโทษของจำเลยที่ ๒ ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๒๗๕๘๗/๒๕๒๗ ของศาลชั้นต้นให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงิน ๑๔๒,๐๐๐ บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๓ นั้นให้ลงโทษจำเลยทั้งสองกระทงเดียว เมื่อรวมกับโทษฐานจัดหางานโดยเรียกหรือรับค่าบริการโดยมิได้รับอนุญาตแล้ว เป็นโทษปรับจำเลยที่ ๑เป็นเงิน ๓,๐๐๐ บาท จำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๑ ปี ๑ เดือน ลดโทษให้หนึ่งในห้าตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว คงลงโทษปรับจำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๒,๔๐๐ บาท จำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๑๐ เดือน ๑๒ วัน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาให้ลงโทษจำเลย ๗ กระทง ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงไม่เกิน ๑ ปี และปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท แม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาแก้ว่า ความผิดของจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๓ เป็นความผิดกระทงเดียว แต่ก็ยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน ๑ ปี และปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง โจทก์ฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายและในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๒ โจทก์ฎีกามาทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาคงรับวินิจฉัยให้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาว่าจำเลยที่ ๒ พูดจาหลอกลวงผู้เสียหายทั้ง ๗ คน พร้อมกันในคราวเดียวกัน เพียงแต่ผู้เสียหายแต่ละคนนำเงินไปให้จำเลยคนละคราวกัน ศาลอุทธรณ์จึงเห็นว่า จำเลยกระทำความผิดกรรมเดียว โจทก์ฎีกาว่า ความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑ ซึ่งเป็นหลักของมาตรา ๓๔๓ มีองค์ประกอบของความผิดว่า โดยการหลอกลวงดังว่านั้น เป็นเหตุให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวง ความผิดตามกฎหมายดังกล่าวจะสำเร็จได้ต่อเมื่อผู้ถูกหลอกลวงส่งมอบทรัพย์ให้จำเลย ซึ่งการรับเงินต่างๆ ของผู้เสียหายทั้ง ๗ คน ในคดีนี้ต่างวันเวลากัน จึงเป็นคนละกรรมต่างกัน ศาลฎีกาเห็นว่าองค์ประกอบของความผิดฐานฉ้อโกงหรือฉ้อโกงประชาชน เริ่มต้นด้วยการหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง ส่วนการที่ผู้ถูกหลอกลวงหลงเชื่อ นำทรัพย์สินมาให้ หรือยอมทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิเป็นผลที่ตามมาจากการที่ถูกหลอกลวง ความสำคัญของการกระทำผิดจึงอยู่ที่การหลอกลวงเมื่อจำเลยที่ ๒ หลอกลวงผู้เสียหายทั้ง ๗ คน พร้อมกันในคราวเดียว แม้ผู้เสียหายแต่ละคนจะมอบเงินให้แก่จำเลยทั้งสองคนละคราวกัน ก็ย่อมเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายบทเดียว หาใช่เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันดังโจทก์ฎีกาไม่ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นการกระทำครั้งเดียว ผิดกรรมเดียว จึงชอบแล้ว แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๓ โดยไม่ระบุวรรคใดนั้น เห็นสมควรระบุเสียให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๓ วรรคแรก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.