คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 19287/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นเพียงผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแทนโจทก์ การที่จำเลยรู้อยู่แล้วว่าโฉนดที่ดินพิพาทอยู่ในความครอบครองของโจทก์มิได้สูญหาย แต่กลับไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่าโฉนดที่ดินพิพาทสูญหาย แล้วนำบันทึกคำแจ้งความไปขอออกใบแทนโฉนดที่ดินแล้วโอนขายที่ดินพิพาทให้บุคคลภายนอก เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จตาม ป.อ. มาตรา 137 และโจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายเป็นพิเศษในการกระทำความผิดดังกล่าว มีอำนาจฟ้องคดีได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 จำคุก 3 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังว่า โจทก์ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 1614 ตำบลองครักษ์ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก จากนางประนอม โดยโจทก์ใส่ชื่อโจทก์จำเลยและบุคคลอื่นรวม 22 คน ในโฉนดที่ดิน ต่อมาโจทก์แบ่งแยกที่ดินออกเป็นหลายแปลงเพื่อนำมาจัดสรรขายโดยไม่ได้ขออนุญาตจัดสรรที่ดินตามกฎหมาย บรรดาที่ดินที่แบ่งแยกมีที่ดินโฉนดเลขที่ 65715 ตำบลองครักษ์ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก เนื้อที่ 2 งาน ตารางวา มีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครนายก สาขาองครักษ์ ว่าโฉนดที่ดินเลขที่ 65715 ข้างต้นสูญหายขอให้เจ้าพนักงานที่ดินออกใบแทนโฉนดที่ดินสูญหายให้แก่จำเลยและเจ้าพนักงานที่ดินได้ออกใบแทนโฉนดที่ดินให้แก่จำเลยแล้วจำเลยนำใบแทนโฉนดที่ดินไปจดทะเบียนโอนขายให้แก่นายสมาน
มีปัญหาวินิจฉัยประการแรกว่า จำเลยถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 65715 ตำบลองครักษ์ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก แทนโจทก์ หรือไม่ เสียก่อน โดยในปัญหาดังกล่าว ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ใส่ชื่อและแบ่งแยกที่ดินให้ผู้จะซื้อที่ดิน ญาติของโจทก์ และจำเลยรวม 22 คน เพื่อหลบเลี่ยงไม่ขออนุญาตทำการจัดสรรที่ดินจากคณะกรรมการจัดสรรที่ดิน ซึ่งถือว่าโจทก์มีส่วนผิดในการแบ่งแยกที่ดินเป็นชื่อของจำเลย ทำให้จำเลยแจ้งต่อพนักงานที่ดินว่าโฉนดที่ดินสูญหาย จนเจ้าพนักงานที่ดินออกใบแทนโฉนดให้แก่จำเลย และนำที่ดินไปจดทะเบียนขายให้แก่นายสมาน แม้จะเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน โจทก์ซึ่งมีส่วนผิดแต่เบื้องต้นจึงมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ซึ่งในประเด็นนี้จำเลยหาได้ยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 แต่จำเลยกลับยอมรับข้อเท็จจริงในคำแก้ฎีกาของจำเลยว่า โจทก์นำชื่อญาติพี่น้องของโจทก์ เพื่อนพนักงานในบริษัทของโจทก์ ผู้จะซื้อที่ดิน รวมทั้งจำเลยใส่ชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินเลขที่ 1614 ตำบลองครักษ์ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก ที่โจทก์ซื้อมาจากนางประนอมเมื่อมีการแบ่งตอนจัดสรรก็โอนใส่ชื่อให้แก่ผู้ซื้อเพื่อหลบเลี่ยงไม่ต้องไปขออนุญาตจัดสรรที่ดินต่อคณะกรรมการจัดสรรที่ดิน ซึ่งแม้จะเป็นเรื่องที่โจทก์กระทำต่อคณะกรรมการจัดสรรที่ดิน แต่ก็เป็นการกระทำที่เป็นมูลเหตุหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อหาที่โจทก์ฟ้องจำเลยว่าแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน เพราะหากโจทก์ไม่ใส่ชื่อและแบ่งแยกที่ดินให้ผู้จะซื้อที่ดิน ญาติของโจทก์ และจำเลยรวม 22 คน เพื่อที่จะหลบเลี่ยงไม่ขออนุญาตจัดสรรที่ดินต่อคณะกรรมการจัดสรรที่ดินแล้ว ความผิดในข้อหาแจ้งความเท็จตามฟ้องของโจทก์ก็จะไม่เกิดขึ้น เนื่องจากจำเลยไม่สามารถที่จะไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินได้ว่า จำเลยเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 65715 โฉนดที่ดินสูญหายไป ดังนั้นการที่โจทก์ได้ใส่ชื่อผู้จะซื้อที่ดิน ญาติของโจทก์ และจำเลยเพื่อหลบเลี่ยงไม่ขออนุญาตจัดสรรที่ดิน จึงถือได้ว่าโจทก์มีส่วนผิดในการแบ่งแยกที่ดินเป็นชื่อของจำเลย ทำให้จำเลยแจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าโฉนดที่ดินสูญหาย ซึ่งแม้จะเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน แต่การกระทำดังกล่าวเกิดขึ้นโดยที่โจทก์มีส่วนผิดแต่เบื้องต้น นอกจากข้อความดังกล่าวแล้ว จำเลยยังยอมรับในคำแก้ฎีกาว่า การแจ้งข้อความของจำเลยแม้จะเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานและโจทก์ได้รับความเสียหายต้องสูญเสียที่ดินไปตามที่โจทก์กล่าวอ้างในฎีกา แต่เมื่อโจทก์มีส่วนผิดในเบื้องต้นโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ดังนี้ เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่จำเลยยอมรับสอดคล้องกับทางนำสืบของโจทก์จึงฟังเป็นยุติว่า ในการจัดสรรที่ดินของโจทก์เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงที่จะไม่ต้องขออนุญาตจัดสรรที่ดินต่อคณะกรรมการจัดสรรที่ดิน โจทก์จึงนำชื่อของญาติของโจทก์ ผู้ที่ประสงค์จะซื้อที่ดินจากการจัดสรร รวมทั้งจำเลยใส่เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในโฉนดที่ดินไว้ก่อน โดยโจทก์จะเก็บต้นฉบับโฉนดที่ดินไว้กับโจทก์ พฤติการณ์จึงฟังได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทอยู่ ส่วนจำเลยเป็นเพียงผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแทนโจทก์เท่านั้น
มีปัญหาวินิจฉัยต่อไปว่า โจทก์เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยหรือไม่ ในปัญหาดังกล่าว เห็นว่า เมื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทอยู่ ทั้งยังได้ยึดถือต้นฉบับโฉนดที่ดินที่พิพาทไว้ในครอบครอง การที่จำเลยรู้อยู่แล้วว่าโฉนดที่ดินอยู่ในความครอบครองของโจทก์ แต่กลับไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอองครักษ์ ว่าโฉนดที่ดินของจำเลยสูญหายแล้วนำบันทึกการแจ้งความไปขอออกใบแทนโฉนดที่ดินแล้วขายที่ดินแปลงพิพาทให้แก่บุคคลภายนอกเช่นนี้ โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายเป็นพิเศษในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 มีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้
มีปัญหาวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า จำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 หรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยรู้อยู่แล้วว่าโฉนดที่ดินพิพาทอยู่ในความครอบครองของโจทก์มิได้สูญหาย แต่กลับไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่าโฉนดที่ดินพิพาทสูญหายแล้วนำบันทึกคำแจ้งความไปขอออกใบแทนโฉนดแล้วจึงโอนขายให้กับบุคคลภายนอกเช่นนี้ การแจ้งความของจำเลยจึงเป็นการแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 จำคุก 3 เดือน ปรับ 1,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ให้คุมความประพฤติของจำเลยไว้มีกำหนด 1 ปี โดยให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 4 เดือนต่อ 1 ครั้ง และให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์มีกำหนด 12 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30

Share