คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1921/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยซื้อที่ดินมีโฉนดจากเจ้าของกรรมสิทธิ์พร้อมกันแต่ได้เข้าครอบครองที่ดินสลับแปลงกัน แม้จำเลยจะครอบครองที่ดินของโจทก์โดยความเข้าใจผิดว่าเป็นที่ดินของตนเองแต่จำเลยก็ครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของไม่จำเป็นที่จำเลยจะต้องว่าเป็นที่ดินของโจทก์แล้วแย่งการครอบครองเกินกว่า 10 ปี จึงจะได้กรรมสิทธิ์ เมื่อการเข้าครอบครองนั้นเป็นการครอบครองด้วยความสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเกิน 10 ปี จำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ์ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามโฉนดเลขที่ 65251 จำเลยได้เข้ามาปลูกสร้างบ้านทำรั้วล้อมรอบ ให้จำเลยรื้อถอนบ้านและรั้วออกไปจากที่ดินของโจทก์ และห้ามจำเลยเข้ามาเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินพิพาทตกเป็นของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ ขอให้ยกฟ้อง และพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยห้ามโจทก์เกี่ยวข้องให้โจทก์ส่งมอบโฉนดที่ดินพิพาทให้จำเลยและเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์จากโจทก์เป็นชื่อของจำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่ได้มีเจตนาครอบครองที่ดินพิพาท จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่65251 ตำบลสามเสนใน (สามเสนในฝั่งเหนือ) อำเภอพญาไท (บางซื่อ)จังหวัดพระนคร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ให้ยกฟ้องโจทก์กับฟ้องแย้งข้ออื่นของจำเลย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ระหว่างพิจารณา จำเลยถึงแก่กรรม นางสาวเพลินจันทร์เองไพบูลย์ทายาทของจำเลยยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนศาลฎีกาอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงจากคำฟ้องคำให้การและทางนำสืบของโจทก์จำเลยฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2515 โจทก์ได้ซื้อที่ดินพิพาทตามโฉนดเลขที่ 65251 จำเลยซื้อที่ดินตามโฉนดเลขที่65248, 65249, 65250 และ 65252 จากนางสมนึก เหลี่ยมมณีพร้อมกัน ที่ดินทั้งหมดดังกล่าวเป็นที่ดินจัดสรรแบ่งเป็นแปลง ๆเริ่มตั้งแต่โฉนดเลขที่ 65248 เรียงตามลำดับขึ้นไปจากทิศใต้ไปทางทิศเหนือ เมื่อซื้อแล้วโจทก์และจำเลยต่างถมดินลงในที่ดินที่ตนเองคิดว่าอยู่ในโฉนดของตนและจำเลยได้ปลูกสร้างบ้านลง 1 หลังเลขที่ 779 ส่วนโจทก์ปลูกบ้านให้คนเช่า จำเลยได้ล้อมรั้วด้วย ต่อมาพ.ศ. 2529 โจทก์จำเลยได้ทำการตรวจสอบจึงได้ทราบว่า จำเลยได้ถมดินและล้อมรั้วในที่ดินตามโฉนดเลขที่ 65249, 65250 และ 65251แปลงพิพาทด้วย ซึ่งเป็นที่ดินผืนเดียวกันและปลูกบ้านลงเต็มเนื้อที่ของแปลงพิพาทด้วย ส่วนบ้านที่โจทก์ปลูกให้คนเช่าอยู่ในโฉนดเลขที่65252 ของจำเลย จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทและโจทก์ครอบครองที่ดินของจำเลยตามโฉนดเลขที่ 65252 มาเกินกว่า 10 ปีแล้วพิเคราะห์แล้ว โจทก์ฎีกาในประการแรกว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทตามที่ได้ตกลงซื้อกับเจ้าของโดยเจตนาครอบครองที่ดินของตนเองเป็นเรื่องโอนโฉนดผิดพลาดสลับกันจึงไม่ใช่กรณีครอบครองที่ดินของผู้อื่นโดยปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายนั้น เห็นว่า การที่จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของโจทก์แม้จะเข้าใจว่าเป็นที่ดินของตนเอง แต่จำเลยก็ยึดถือครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของไม่จำเป็นว่าจำเลยจะต้องรู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์แล้วแย่งการครอบครองเป็นเวลาสิบปีจึงจะได้กรรมสิทธิ์ เมื่อจำเลยเข้าครอบครองที่ดินของโจทก์โดยเข้าใจผิดว่าเป็นของจำเลยเองโดยความสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเกินสิบปี จำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหาย ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น…”
พิพากษายืน

Share