คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1916/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ผู้เช่าอนุญาตให้จำเลยเข้าไปทำการค้าในตึกแถวพิพาทเป็นการอาศัยสิทธิของผู้เช่าซึ่งไม่ปรากฏว่าไม่สุจริตอย่างไร ดังนี้ถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อต่อโจทก์ผู้รับโอนตึกแถวพิพาท จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกแถวพิพาทกับให้จำเลยชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 48,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยและค่าเสียหายจนกว่าจำเลยจะขนย้ายออกไปและส่งมอบตึกแถวคืนโจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเข้าทำการค้าในตึกแถวพิพาทในนามของนายจำนงค์เข้าหุ้นร่วมทำการค้าขายด้วยกัน การเข้าอยู่ในตึกแถวพิพาทจึงไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ค่าเสียหายไม่เกินเดือนละ 400บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘…ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า นายจำนงค์ ชีวาเกียรติยิ่งยง จดทะเบียนการเช่าตึกแถวพิพาทกับนางพวงเพ็ญพึ่งจิตต์ตน เจ้าของตึกแถวพิพาทเดิมมีกำหนด 16 ปี 2 เดือน ตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน 2521 ตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย ล.1 เมื่อวันที่31 พฤษภาคม 2526 โจทก์ซื้อที่ดินและตึกแถวพิพาทจากนางพวงเพ็ญตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.1 นายจำนงค์ประกอบการค้าขายอุปกรณ์เครื่องไฟฟ้าในตึกแถวพิพาท ใช้ชื่อร้านว่าสุกิจการไฟฟ้าต้นเดือนกรกฎาคม 2526 จำเลยเข้าทำการค้าในตึกแถวพิพาทวันที่ 21กรกฎาคม 2526 นายจำนงค์จดทะเบียนการค้าใช้ชื่อประกอบการค้าในตึกแถวพิพาทใหม่ว่า เจริญยนต์ ตามเอกสารหมาย จ.10 และจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการค้าต่อกรมสรรพากร ตามเอกสารหมาย ล.2 คดีมีปัญหาว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยมิใช่บริวารของนายจำนงค์โดยชอบนั้น จำเลยนำสืบว่า มารดาของนายจำนงค์เป็นพี่สาวของมารดาจำเลย โจทก์ไม่มีพยานนำสืบหักล้าง จึงรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นญาติกับนายจำนงค์ การที่นายจำนงค์อนุญาตให้จำเลยเข้าไปทำการค้าในตึกแถวพิพาทเป็นการอาศัยสิทธิการเช่าของนายจำนงค์ซึ่งไม่ปรากฏว่าไม่สุจริตอย่างไร จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้โจทก์เสียหายในทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด ตามมาตรา 420แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้น การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ตามฟ้อง…’
พิพากษายืน.

Share