คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1910/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองสมยอมกันทำสัญญากู้เงินย้อนหลังว่าจำเลยที่ 2 กู้เงินจำเลยที่ 1 แล้วทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลจนศาลพิพากษาตามยอม ขอให้เพิกถอนคำพิพากษาหรือให้ถือว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินของจำเลยที่ 2ตามคำขอดังกล่าวหมายความว่า ถ้าเพิกถอนคำพิพากษาไม่ได้ก็ขออย่าให้มีหรืออ้างสิทธิตามคำพิพากษานั้น ซึ่งศาลอาจพิพากษาให้ได้ โดยไม่จำต้องเพิกถอนสัญญาและคำพิพากษาตามยอมเพราะสัญญาและคำพิพากษานั้นเป็นเรื่องระหว่างจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองสมยอมกันทำสัญญากู้เงินย้อนหลังว่าจำเลยที่ ๒ กู้เงินจำเลยที่ ๑ แล้วนำไปฟ้องศาลและจำเลยที่ ๒ ยอมความยอมใช้หนี้ ซึ่งศาลพิพากษาตามยอมแล้วตามคดีแดงที่ ๑๐๐/๒๕๑๓ ต่อมาจำเลยที่ ๑ ถือสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไปยื่นคำร้องขอเฉลี่ยหนี้ในคดีแดงที่ ๓๙/๒๕๑๓ ซึ่งจำเลยที่ ๒ เป็นจำเลยในคดีนั้น ศาลอนุญาตให้จำเลยที่ ๑ มีสิทธิเฉลี่ยเช่นเดียวกับโจทก์และเจ้าหนี้อื่น ๆ และจำเลยทั้งสองยังสมรู้กันให้จำเลยที่ ๑ ไปแย่งยึดที่ดินของจำเลยที่ ๒ ห้าแปลงมาขายทอดตลาด ทำให้จำเลยที่ ๑ มีสิทธิได้รับชำระหนี้เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแดงที่ ๙๘/๒๕๑๓ และเจ้าหนี้อื่นเสียเปรียบโดยได้รับชำระหนี้คนละเล็กน้อย ขอให้เพิกถอนคำพิพากษาตามยอมในคดีแดงที่ ๑๐๐/๒๕๑๓ หรือให้ถือว่าจำเลยที่ ๑ ไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินของจำเลยที่ ๒ ตามคำพิพากษาดังกล่าวจนกว่าโจทก์และเจ้าหนี้อื่นของจำเลยที่ ๒ ได้รับชำระหนี้ครบถ้วน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เป็นเรื่องที่โจทก์ขอให้ทำลายคำพิพากษาซึ่งไม่มีเหตุผลที่ศาลจะพิพากษาทำลายได้ ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้รับฟ้องไว้พิจารณา
จำเลยที่ ๑ ฎีกาขอให้ยกฟ้องตามคำสั่งศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาได้พิเคราะห์คำฟ้องของโจทก์แล้ว เห็นว่า แท้จริงโจทก์ประสงค์ที่จะขอให้ศาลเพิกถอนสัญญากู้เงินระหว่างจำเลยทั้งสองที่อ้างว่าได้ทำย้อนหลัง เป็นเหตุให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ ๒ เสียเปรียบ ซึ่งโจทก์ชอบที่จะทำได้ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๓๗ ว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใด ๆ อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ตามฟ้องคดีนี้ปรากฏว่าจำเลยได้ทำสัญญากู้กันแล้ว ยังได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมใช้เงินทั้งหมดจนศาลจังหวัดพิจิตรได้พิพากษาตามยอมเสร็จสิ้นไปแล้วด้วยโจทก์จึงขอให้เพิกถอนคำพิพากษานั้นหรือให้ถือว่าจำเลยที่ ๑ ไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินของจำเลยที่ ๒ ตามคำพิพากษาดังกล่าวซึ่งย่อมหมายความว่าถ้าเพิกถอนคำพิพากษาไม่ได้ ก็ขออย่าให้มีหรืออ้างสิทธิตามคำพิพากษานั้นมาขอเฉลี่ยหนี้ในคดีแดงที่ ๓๙/๒๕๑๓ อันจะทำให้โจทก์เสียเปรียบได้เลย ทั้งนี้ โจทก์ก็ชอบที่จะทำได้ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ ๙๖๒/๒๔๙๓ คดีระหว่าง นางสง่า มะไม โจทก์ นายใช่ เกิดจันทอง ที่ ๑ นายเซ่ง พัดอยู่ ที่ ๒ จำเลย ซึ่งศาลอาจจะพิพากษาให้ได้โดยไม่จำต้องเพิกถอนสัญญาและคำพิพากษาตามยอมให้ตามคำขอของโจทก์เพราะสัญญาและคำพิพากษานั้นเป็นเรื่องระหว่างจำเลย ฉะนั้น โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องของโจทก์ไว้ดำเนินการพิจารณาต่อไปนั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ ๑ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share