คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1890/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยการขาดนัด หากจำเลยไม่มรณะก็ย่อมมีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 ซึ่งคดียังไม่ถึงที่สุดตามมาตรา 147 การขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะตามมาตรา 42 และ 43 นั้น หากคู่ความมรณะภายหลังศาลพิพากษาคดีแล้วก็ไม่มีกรณีที่จะต้องเลื่อนการนั่งพิจารณาในระหว่างนี้หากคดียังไม่ถึงที่สุดทายาทของผู้มรณะก็ยังคงมีสิทธิขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะได้มิใช่ว่าเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้วสิทธิขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะสิ้นไปด้วย คดีนี้โจทก์ฟ้องขอมีชื่อเป็นเจ้าของทรัพย์สินร่วมกับจำเลยหากทรัพย์สินที่โจทก์ฟ้องขอมีชื่อเป็นเจ้าของร่วมเป็นของจำเลยแต่ผู้เดียว ทรัพย์สินดังกล่าวทั้งหมดย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทของจำเลย จึงเป็นกรณีสิทธิในทรัพย์สินมิใช่สิทธิเฉพาะตัว ผู้ร้องอ้างว่าเป็นทายาทของจำเลยร้องขอเข้ามาแทนที่จำเลยเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนผู้ร้องย่อมมีสิทธิร้องขอให้พิจารณาใหม่ได้ ผู้ร้องคัดค้านในคำร้องขอพิจารณาใหม่ว่า ศาลได้พิพากษาคดีไปฝ่ายเดียวโดยจำเลยไม่ทราบ ต่อมาจำเลยถูกฆ่าตาย ผู้ร้องเพิ่งทราบว่าจำเลยถูกโจทก์ฟ้อง ซึ่งหากศาลได้ให้โอกาส ผู้ร้องในการเสนอพยานหลักฐานเพื่อหักล้างคำพยานโจทก์แล้ว คดีย่อมฟังไม่ได้ว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทครึ่งหนึ่ง เป็นการคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นว่าไม่ถูกต้อง อย่างไร หากพิจารณาใหม่แล้วศาลอาจพิพากษาให้ผิดแผกแตกต่างไป จากที่ได้พิพากษาไปแล้ว คำร้องขอพิจารณาใหม่จึงชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลย ขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาบางกะปิ ให้โจทก์มีชื่อร่วมกับจำเลยในที่ดินโฉนดเลขที่ 1124 พร้อมสิ่งปลูกสร้างกับให้จดทะเบียนให้โจทก์มีชื่อร่วมในรถยนต์ จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาบางกะปิให้โจทก์มีชื่อร่วมกับจำเลยในโฉนดที่ดินเลขที่ 1124พร้อมสิ่งปลูกสร้าง
ต่อมาผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับจำเลยเป็นทายาทโดยธรรมของจำเลย เนื่องจากจำเลยถึงแก่ความตายแล้ว จึงขอเข้าเป็นจำเลยแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1599 กับขอให้พิจารณาใหม่โดยอ้างว่าจำเลยมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลพิพากษาคดีไปฝ่ายเดียวโดยจำเลยไม่ทราบหากศาลได้ให้โอกาสผู้ร้องในการเสนอพยานหลักฐานเพื่อหักล้างคำพยานโจทก์แล้ว คดีย่อมฟังไม่ได้ว่าที่พิพาทโจทก์มีกรรมสิทธิ์ครึ่งหนึ่ง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยมรณะเมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอเข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยผู้มรณะและขอพิจารณาใหม่ เพราะขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 42 และคำร้องขอพิจารณาใหม่ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคหนึ่งและวรรคสอง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งว่า ผู้ร้องเป็นทายาทของจำเลยโดยเป็นพี่สาวร่วมบิดามารดาเดียวกับจำเลย อนุญาตให้ผู้ร้องสวมสิทธิดำเนินกระบวนพิจารณาแทนจำเลย และคำร้องของผู้ร้องได้กล่าวโดยแจ้งชัดแล้วถึงเหตุที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลรวมถึงเหตุที่ทำให้ผู้ร้องยื่นคำร้องล่าช้าด้วย คำร้องของผู้ร้องจึงชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 แล้ว และจำเลยมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า ผู้ร้องไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่แทนจำเลย เพราะจำเลยถึงแก่ความตายภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาคดีแล้ว มิใช่คดีค้างพิจารณาอยู่ในศาล และการขอพิจารณาใหม่โดยสภาพแล้วเป็นการเฉพาะตัวของจำเลยผู้ตาย ไม่ใช่กองมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1600 เห็นว่า ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาเป็นการพิจารณาโดยการขาดนัด หากจำเลยไม่มรณะก็ย่อมมีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 ซึ่งคดียังไม่ถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147การขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42 และ 43 นั้น แม้ในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาก็ขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะได้ ส่วนที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42 บัญญัติว่า “ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในคดีที่ค้างพิจารณาอยู่ในศาลได้มรณะเสียก่อนศาลพิพากษาคดีให้ศาลเลื่อนการนั่งพิจารณาไปจนกว่าทายาทของผู้มรณะจะได้มาเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะ” นั้น เป็นกรณีที่ให้ศาลเลื่อนการนั่งพิจารณาไปถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในคดีที่ค้างพิจารณาอยู่ในศาลได้มรณะเสียก่อนศาลพิพากษาคดี หากคู่ความมรณะภายหลังศาลพิพากษาคดีแล้วก็ไม่มีกรณีที่จะต้องเลื่อนการนั่งพิจารณาในระหว่างนี้หากคดียังไม่ถึงที่สุดทายาทของผู้มรณะก็ยังคงมีสิทธิขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะได้ มิใช่ว่าเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้ว สิทธิขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะสิ้นไปด้วย สำหรับคดีนี้โจทก์ฟ้องขอมีชื่อเป็นเจ้าของทรัพย์สินร่วมกับจำเลยหากทรัพย์สินที่โจทก์ฟ้องขอมีชื่อเป็นเจ้าของร่วมเป็นของจำเลยแต่ผู้เดียวทรัพย์สินดังกล่าวทั้งหมดย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาท จึงเป็นกรณีสิทธิในทรัพย์สินมิใช่สิทธิเฉพาะตัว ผู้ร้องอ้างว่าเป็นทายาทของจำเลยร้องขอเข้ามาแทนที่จำเลยเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตน ผู้ร้องย่อมมีสิทธิร้องขอให้พิจารณาใหม่ได้
โจทก์ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า คำร้องของผู้ร้องมิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลเพื่อแสดงว่าตนว่าชนะคดีได้อย่างไร ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 208 วรรคสอง เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่า โจทก์อยู่กินฉันสามีภรรยากับจำเลยโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินคือที่ดินโฉนดเลขที่ 1124 พร้อมสิ่งปลูกสร้างและรถยนต์โดยโจทก์ให้จำเลยมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินดังกล่าวแต่ผู้เดียว ต่อมาจำเลยโต้แย้งสิทธิในทรัพย์สินดังกล่าวของโจทก์ขอให้ศาลพิพากษาบังคับจำเลยไปจดทะเบียนให้โจทก์มีชื่อร่วมกับจำเลยในทรัพย์สินดังกล่าว ศาลชั้นต้นพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียวโดยพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาบางกะปิ ให้โจทก์มีชื่อร่วมกับจำเลยในโฉนดที่ดินเลขที่ 1124 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งผู้ร้องกล่าวคัดค้านในคำร้องขอพิจารณาใหม่ว่า ศาลได้พิพากษาคดีไปฝ่ายเดียวโดยจำเลยไม่ทราบ ต่อมาจำเลยถูกฆ่าตาย ผู้ร้องเพิ่งทราบว่าจำเลยถูกโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้ ซึ่งหากศาลได้ให้โอกาสผู้ร้องในการเสนอพยานหลักฐานเพื่อหักล้างคำพยานโจทก์แล้วคดีย่อมฟังไม่ได้ว่าที่พิพาทโจทก์มีกรรมสิทธิ์ครึ่งหนึ่งพอสรุปได้ว่ากล่าวถึงข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นที่พิพากษาว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตามฟ้องร่วมกับจำเลยครึ่งหนึ่งนั้นไม่ถูกต้อง หากพิจารณาใหม่แล้ว ศาลอาจพิพากษาให้ผิดแผกแตกต่างไปจากที่ได้พิพากษาไปแล้ว คำร้องขอพิจารณาใหม่ของผู้ร้องจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 208 วรรคสอง แล้ว
พิพากษายืน

Share