แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายแก่โจทก์โดยแบ่งความรับผิดให้จำเลยที่ 2 รับผิดเพียงหนึ่งในสามส่วนโจทก์และจำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์คัดค้าน คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 จึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยทั้งสองต้องรับผิดคนละครึ่ง เมื่อหนี้ดังกล่าวศาลแบ่งความรับผิดให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดแล้ว จึงมิใช่การชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์กลับเป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 2 โดยเป็นผลให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดเพิ่มมากขึ้น ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจชี้ขาดว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มีผลกับจำเลยที่ 2 ด้วย โจทก์จึงจะขอให้ออกคำบังคับเอาชำระหนี้จากจำเลยที่ 2 ครึ่งหนึ่งตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ได้
ย่อยาว
กรณีสืบเนื่องมาจากลูกจ้างของจำเลยทั้งสองต่างขับรถยนต์ในทางการที่จ้างด้วยความประมาท เป็นเหตุให้รถยนต์ทั้งสองคันชนกัน รถยนต์ของจำเลยที่ ๑เลยไปชนบ้านโจทก์และทรัพย์สินเสียหาย โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยทั้งสองร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน ๖๘,๐๐๐ บาท โดยให้จำเลยที่ ๑ รับผิดสองในสามส่วน จำเลยที่ ๒ รับผิดหนึ่งในสามส่วน จำเลยที่ ๑ ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ เห็นว่าตามรูปคดีจำเลยทั้งสองควรรับผิดในความเสียหายเป็นอัตราส่วนเท่ากัน กรณีเป็นการชำระหนี้ซึ่งจำเลยทั้งสองจะต้องร่วมรับผิด และไม่อาจแบ่งแยกได้ จึงให้มีผลถึงจำเลยที่ ๒ซึ่งไม่ได้อุทธรณ์ด้วย พิพากษาแก้ลดจำนวนค่าเสียหายคงเหลือ ๕๘,๐๐๐ บาทลดค่าเช่าบ้านเหลือเดือนละ ๕๐๐ บาท และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะ โดยให้จำเลยทั้งสองรับผิดคนละครึ่งทุกกรณี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นจำเลยที่ ๑ ฎีกาว่าโจทก์ไม่ได้เช่าบ้าน จำเลยที่ ๑ ไม่ต้องรับผิดใช้ดอกเบี้ยกับค่าฤชาธรรมเนียม ศาลฎีกาพิพากษายืน ต่อมาโจทก์ขอให้ศาลออกคำบังคับสั่งให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามคำพิพากษา
จำเลยที่ ๒ รับคำบังคับแล้วยื่นคำร้องว่า หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว จำเลยที่ ๒ ได้ชำระหนี้ให้โจทก์ตามคำพิพากษาเรียบร้อยแล้ว หนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ ระงับ
ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยที่ ๒ มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาและคำบังคับอันถึงที่สุด ให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ โดยแบ่งความรับผิดให้จำเลยที่ ๒ รับผิดเพียงหนึ่งส่วนในสามส่วน โจทก์และจำเลยที่ ๒ มิได้อุทธรณ์คัดค้านแต่อย่างใด คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ จึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และโจทก์ก็ได้แถลงให้ศาลทราบว่าจำเลยที่ ๒ ได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาเรียบร้อยแล้ว ส่วนที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองรับผิดคนละครึ่งทุกกรณี โดยให้มีผลถึงจำเลยที่ ๒ ซึ่งมิได้อุทธรณ์ด้วยนั้น เห็นว่าหนี้ดังกล่าวศาลแบ่งความรับผิดให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดแล้ว จึงไม่ใช่การชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ทั้งศาลอุทธรณ์ก็ไม่ได้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นอันจะเป็นคุณแก่จำเลยที่ ๒ แต่คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์กลับเป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ ๒ โดยเป็นผลให้จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดเพิ่มมากขึ้น ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจชี้ขาดว่าคำพิพากษายืน แต่ก็มีประเด็นในชั้นฎีกาเฉพาะเรื่องค่าเสียหายและค่าฤชาธรรมเนียมเท่านั้น มิได้มีประเด็นในเรื่องการแบ่งความรับผิดในความเสียหายระหว่างจำเลยทั้งสอง เมื่อคดีนี้โจทก์ยอมรับชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจากจำเลยที่ ๒ ครบถ้วนแล้ว และโจทก์ก็มิได้ติดใจอุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าวของศาลชั้นต้น โจทก์จึงจะขอให้ออกคำบังคับเอาชำระหนี้จากจำเลยที่ ๒ ครึ่งหนึ่งตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มิได้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องของจำเลยที่ ๒ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับเป็นว่า โจทก์ไม่มีสิทธิเอาชำระหนี้จากจำเลยที่ ๒ อีกต่อไปเพิกถอนคำบังคับที่บังคับจำเลยที่ ๒ ให้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับลงวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๒๓ นั้นเสีย