แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยเป็นตัวการปล้นทรัพย์
โจทก์ฟ้องบรรยายการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานสมรู้ในการปล้น และอ้างบทขอให้ลงโทษฐานสมรู้ ทางพิจารณาสมฟ้องแม้จะได้ความต่อไปว่าจำเลยเป็นตัวการปล้นทรัพย์ด้วยก็ลงโทษฐานเป็นตัวการปล้นทรัพย์ไม่ได้ เพราะเกินคำขอ แต่ลงโทษฐานสมรู้ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นายเจือกับพวกสมคบกันปล้นทรัพย์ และในขณะที่จำเลยกำลังทำการปล้นทรัพย์อยู่นั้น นายเริ่มจำเลยได้บังอาจกระทำการอุดหนุนโดยมีมีดเป็นศาสตราวุธเดินตรวจตรารอบ ๆ บ้านเจ้าทรัพย์และตะโกนสนับสนุนให้คนร้ายฮึกเหิมกระทำการองอาจยิ่งขึ้นว่า”ไอ้เสือเอาเข้า” เมื่อพวกเจ้าทรัพย์ออกจากบ้าน นายเริ่มจำเลยได้ออกติดตามจับ เป็นการกระทำอันอุปการะแก่การกระทำผิด ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 301, 63 และ 65
จำเลยทุกคนให้การปฏิเสธ
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า นายเจือกับพวกจำเลยเป็นคนร้ายปล้นทรัพย์รายนี้ ส่วนนายเริ่มจำเลยนั้นโจทก์สืบได้ความว่าจำเลยถือมีดเดินอยู่รอบ ๆ โรง และไล่ฟันพวกเจ้าทรัพย์ที่หนีออกจากโรง ในขณะที่จำเลยอื่นกำลังใช้ขวานตีเจ้าทรัพย์ นายเริ่มแอบดูอยู่ข้างโรงพูดว่า “เอาเข้า ๆ” แล้วกระโดดเข้ามาฟันเจ้าทรัพย์ด้วยศาลฎีกาเห็นว่า นายเริ่มจำเลยมีความผิดฐานเป็นตัวการปล้นทรัพย์รายนี้ด้วย แต่ฟ้องโจทก์บรรยายการกระทำของนายเริ่มจำเลยเพียงว่าได้บังอาจทำการหนุนหลังผู้กระทำผิดซึ่งข้อเท็จจริงตามฟ้องก็ปรากฏตามทางพิจารณาสมฟ้องของโจทก์ ถึงหากจะได้ความว่านายเริ่มเป็นตัวการปล้นทรัพย์ก็ลงโทษได้เพียงฐานสมรู้ด้วยผู้กระทำผิดเท่าที่โจทก์กล่าวหาพิพากษาลงโทษจำเลยอื่นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และลงโทษจำคุกนายเริ่มจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 301, 65 และพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา พ.ศ. 2477 (ฉบับที่ 4)มาตรา 7 วรรคต้นมีกำหนด 10 ปี