คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1888/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ออกเช็คให้แก่จำเลยเพื่อชำระเป็นเงินรางวัลสลากกินรวบและต่อมาได้แจ้งระงับการจ่ายเงินเพราะทราบความจริงว่าจำเลยมิได้ถูกรางวัลแต่จำเลยได้มอบอำนาจให้ ป. ไปแจ้งความ แล้วจำเลยไปให้การต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์นำเช็คมาแลกเงินสดไปจากจำเลย เป็นเหตุให้โจทก์ถูกจับถูกควบคุมตัวระหว่างการสอบสวน และถูกฟ้องต่อศาล ทั้งจำเลยได้เบิกความเท็จดังกล่าว ซึ่งอาจทำให้ศาลในคดีนั้นเชื่อและลงโทษโจทก์ โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) และมีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดฐานแจ้งความเท็จ และเบิกความเท็จ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องว่า จำเลยมอบอำนาจให้นาย ป. ไปแจ้งความ และจำเลยเองก็ไปให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า โจทก์สั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ให้กับจำเลยแล้วธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงจำเลยรู้อยู่แล้วว่า เช็คไม่มีมูลหนี้อันชอบด้วยกฎหมาย เพราะโจทก์สั่งจ่ายเช็คให้จำเลยเพื่อชำระเป็นเงินรางวัลในการเล่นหวยใต้ดิน โดยจำเลยหลอกลวงโจทก์ว่าจำเลยถูกรางวัลทั้งที่ความจริงจำเลยมิได้ถูก เป็นเหตุให้โจทก์เสียหายต้องถูกจับกุมคุมขังและถูกฟ้องคดีอาญาในความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค และจำเลยได้ไปเบิกความเท็จต่อศาลว่า โจทก์นำเช็คมาแลกเงินสดไปจากจำเลย ซึ่งเป็นเท็จและเป็นข้อสำคัญในคดี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๒, ๑๗๓, ๑๗๔ วรรคสอง, ๑๗๗ วรรคสอง
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๒, ๑๗๓, ๑๗๔ วรรคสอง เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา ๑๗๔ วรรคสอง บทหนัก ให้จำคุก ๒ ปี สำหรับความผิดตามมาตรา ๑๗๗ วรรคสอง ให้จำคุก ๓ ปี รวมเป็นจำคุก ๕ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๓ ประกอบมาตรา ๑๗๔ ให้จำคุก ๑ ปี และผิดตามมาตรา ๑๗๗ ให้จำคุก ๒ ปี รวมเป็นจำคุก ๓ ปี
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า …ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ออกเช็คพิพาทให้แก่จำเลยเพื่อชำระเป็นเงินรางวัลหวยใต้ดิน ต่อมาโจทก์ทราบความจริงว่าจำเลยมิได้ถูกรางวัล แต่ได้หลอกลวงโจทก์ว่าถูก โจทก์จึงแจ้งธนาคารให้ระงับการจ่ายเงิน และจำเลยได้มอบอำนาจให้นาย ป. ไปแจ้งความดำเนินคดีแก่โจทก์ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค โดยว่าโจทก์นำเช็คมาแลกเงินสดไปจากจำเลย แล้วจำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวน กับเบิกความต่อศาลตามข้อความดังกล่าวนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ออกเช็คพิพาทเพื่อชำระเป็นเงินรางวัลหวยใต้ดินให้แก่จำเลย ข้อความที่จำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวนและเบิกความต่อศาลในคดีดังกล่าวจึงเป็นความเท็จ เป็นการแจ้งความโดยมีเจตนาแกล้งให้โจทก์ต้องรับโทษ และเป็นการเบิกความเท็จต่อศาลในการพิจารณาคดีอาญา ทั้งเป็นข้อสำคัญในคดี
ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาเป็นข้อกฎหมายว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า เนื่องจากการที่จำเลยมอบอำนาจให้นาย ป. แจ้งความอันเป็นเท็จและจำเลยให้การเท็จต่อพนักงานสอบสวนเป็นเหตุให้โจทก์ถูกจับและถูกควบคุมระหว่างการสอบสวนและถูกฟ้องต่อศาล ทั้งการที่จำเลยเบิกความเท็จก็อาจทำให้ศาลเชื่อและลงโทษโจทก์ โจทก์เป็นผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดของจำเลย โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒ (๔)
พิพากษายืน.

Share