คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1886/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้คดีเดิมจะต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงแล้วก็ดี หากกรณีพิพาทในชั้นบังคับคดีนั้นมีการตั้งประเด็นพิพาทโต้แย้งขึ้นมาใหม่ มิได้เกี่ยวกับประเด็นและคู่ความเดิม ทั้งตามรูปเรื่องไม่เป็นคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงแล้ว ก็ย่อมอุทธรณ์ข้อเท็จจริงได้
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 33/ 2505)

ย่อยาว

กรณีเรื่องนี้สืบเนื่องมาจากคดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย ให้จำเลยรื้อถอนห้องแถว ๒๒ ห้องของจำเลยที่ปลูกบนที่ดินที่จำเลยเช่าจากโจทก์ในอัตราค่าเช่าเดือนละ ๒๐๐ บาท ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดิน โจทก์จำเลยทำยอมในศาล โดยจำเลยและบริวารยอมออกจากที่ดินตามฟ้อง และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปด้วย ต่อมาโจทก์ร้องต่อศาลชั้นต้นว่า ผู้ร้องทั้ง ๑๘ คน ซึ่งเป็นบริวารของจำเลยไม่ยอมออกจากที่ดินโจทก์ ศาลชั้นต้นเรียกผู้ร้องมาสอบถาม ผู้ร้องยื่นคำร้องว่ามิใช่บริวารของจำเลย ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเดิมเป็นของนางประเสริฐ ๆ ยกให้นายพูลผล ๆ ได้เชิดนางประเสริฐกับนางสาวเจียร เป็นตัวแทนในการให้ผู้ร้องเช่าเพื่ออยู่อาศัย แล้วโจทก์ซื้อที่ดินกับสิ่งปลูกสร้างจากนายพูลผล โดยโจทก์รู้ถึงสิทธิการเช่าของผู้ร้องอยู่ก่อนแล้ว แล้วโจทก์ให้จำเลยมาเรียกเงินกินเปล่าและขึ้นค่าเช่าจากผู้ร้อง นายพูลผลกับโจทก์ได้เชิดนางสาวเจียรและจำเลยเป็นตัวแทนตลอดมา การกระทำของโจทก์กับจำเลยเป็นการสมยอมกัน เพื่อมิให้ผู้ร้องได้ใช้หรือรับประโยชน์ในทรัพย์สินที่เช่า เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต และขัดต่อพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน ๆ และว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะขณะยื่นฟ้องกรรมสิทธิที่ดินตกเป็นของหม่อมเจ้าหญิงอัจฉราฉวี เทวกุล ผู้รับซื้อฝากที่ดินนี้จากโจทก์แล้ว
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า เดิมนางสาวเจียรเช่าที่ดินของนางประเสริฐเพื่อปลูกห้องแถวและผู้ร้องทุกคนได้เช่าห้องจากนางสาวเจียรเพื่ออยู่อาศัย ภายหลังโจทก์ซื้อที่ดินแลปงนี้ ส่วนจำเลยซื้อห้องแถวจากนางสาวเจียรแล้วให้ผู้ร้องเช่าต่อมา ที่ผู้ร้องอ้างว่าที่ดินกับสิ่งปลูกสร้างเป็นของนางประเสริฐและนายพูลผลได้เชิดนางประเสริฐ นางสาวเจียร เป็นตัวแทนให้เช่าที่ดินและห้องแถวนั้นฟังไม่ขึ้น ผู้ร้องจึงไม่มีนิติสัมพันธ์อะไรกับนางประเสริฐและโจทก์ ทั้งผู้ร้องสืบไม่ได้ว่าโจทก์ได้เชิดจำเลยเป็นตัวแทนให้เช่าที่ดิน ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่าโจทก์ขายฝากที่ดินแก่หม่อม เจ้าหญิงอัจฉราฉวีนั้น เห็นว่า โจทก์ยังมีสิทธิไถ่คืนอยู่ และมีอำนาจที่จะบังคับเอาแก่จำเลยโดยไม่มีอะไรหักล้าง อำนาจนี้ย่อมบังคับถึงบรรดาผู้ร้องซึ่งเป็นบริวารของจำเลยด้วย จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง คงให้คำบังคับใช้บังคับแก่ผู้ร้องตามเดิม
ผู้ร้องทั้ง ๑๘ คนอุทธรณ์ทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของผู้ร้องเป็นอุทธรณ์ในชั้นบังคับคดี นับเป็นสาขาคดี คดีเดิมของเรื่องนี้เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละ ๒,๐๐๐ บาท จำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ หรือมิได้ยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแพ่งข้อความในสัญญาเช่า คดีของผู้ร้องจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๒๔ ศาลอุทธรณ์คงวินิจฉัยอุทธรณ์ผู้ร้องเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย แล้วพิพากษายืน
ผู้ร้องทั้ง ๑๘ คนฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่ว่า คดีชนิดนี้จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้หรือไม่
ศาลฎีกาเห็นว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าผู้ร้องไม่ใช่บริวารของจำเลย เมื่อโจทก์ซื้อที่ดินกับสิ่งปลูกสร้าง โจทก์รู้ถึงสิทธิการเช่าของผู้ร้องกับเจ้าของเดิมอยู่ก่อนแล้ว การกระทำของโจทก์จำเลยเป็นการสมยอมเพื่อให้ผู้ร้องไม่ได้ใช้หรือรับประโยชน์ในทรัพย์สินที่เช่าอันเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและขัดต่อพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน ฯ ซึ่งหากพิจารณาได้ความจริงตามคำร้อง ก็จะใช้คำพิพากษาที่บังคับขับไล่จำเลยมาบังคับขับไล่ผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๔๒ (๑) ด้วยมิได้
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า ผู้ร้องมิใช่คู่ความเดิมในคดีและตามคำร้องของผู้ร้องดังกล่าวข้างต้นเป็นเรื่องผู้ร้องอ้างว่ามีอำนาจพิเศษในการที่จะอยู่ในห้องพิพาทได้โดยไม่ต้องอาศัยอำนาจของจำเลย เท่ากับผู้ร้องตั้งประเด็นพิพาทโต้แย้งขึ้นมาใหม่ ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นพิพาทเดิม ในการวินิจฉัยประเด็นแห่งคดีก็ฟ้องถือตามเรื่องราวที่ได้ความใหม่ ซึ่งตามรูปเรื่องคดีของผู้ร้องไม่ใช่คดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๔ ผู้ร้องย่อมมีสิทธิอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่

Share