คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1886-1888/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยและผู้อื่นอีก 3 คนต่างเป็นเจ้าของที่ดินนาเกลือซึ่งอยู่ทางเหนือต่อจากที่ดินเหล่านี้ลงไปทางใต้ เป็นที่ดินยังไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ซึ่งเป็นวังขังน้ำที่คนเหล่านี้ช่วยกันทะนุบำรุงรักษาและใช้น้ำในวังขังน้ำ สำหรับทำนาเกลือร่วมกัน ไม่อาจกำหนดลงได้ว่าเจ้าของนาเกลือคนใดเป็นเจ้าของที่ดินวังขังน้ำตรงไหน เมื่อโจทก์เลิกทำนาเกลือจะเปลี่ยนเป็นทำนากุ้งในที่ดินวังขังน้ำซึ่งอยู่ติดต่อตรงกับที่ดินนาเกลือของโจทก์ แต่พอเริ่มเข้าทำ จำเลยก็ขัดขวางและเข้าทำบ้าง และเกิดพิพาทกันในชั้นตำรวจและอำเภอตลอดมาโจทก์จำเลยต่างแยกกันครอบครองและแย่งกันทำประโยชน์ ต่างก็ได้เข้าครอบครองที่พิพาท แต่ยังไม่มีฝ่ายใดเข้าครอบครองโดยสงบเป็นส่วนสัดเมื่อคดีมาสู่ศาล ศาลย่อมแบ่งที่พิพาทให้โจทก์จำเลยฝ่ายละครึ่ง

ย่อยาว

คดี ๓ สำนวนนี้ ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาพิพากษามาด้วยกัน
โจทก์สำนวนที่ ๑ ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินนาเกลือ โฉนดที่ ๔๔๙๖ เนื้อที่ ๙ ไร่ ๔๐ วา กับที่ดินนาเกลือ ๓ ไร่ และที่ดินวังขังน้ำสำหรับทำนาเกลือ ๕๐ ไร่ ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินมีโฉนดนั้นและยังไม่มีหนังสือสำคัญ จำเลยนำเจ้าพนักงานไปรังวัดที่นาเกลือ ๓ ไร่ และที่ดินวังขังน้ำ ๕๐ ไร่ของโจทก์ เพื่อออกโฉนดเอาเป็นของจำเลย ต่อมาจำเลยกับพวกได้บุกรุกเข้าไปเอาลวดหนามกั้นเป็นรั้วขวางระหว่างที่ดินของโจทก์ตามโฉนดที่ ๔๔๙๖ กับที่ดิน ๓ ไร่ กับบุกรุกเข้าขุดดินในที่ดินวังขังน้ำของโจทก์ ขอให้พิพากษาแสดงว่าที่ดินนาเกลือและที่วังขังน้ำเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องและสั่งระงับการออกโฉนดที่ดินให้จำเลย กับให้จำเลยรื้อถอนลวดหนามออกไป
โจทก์สำนวนที่ ๒ ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินนาเกลือโฉนดที่ ๔๔๙๔ เนื้อที่ ๒๓ ไร่เศษ กับที่ดินยังไม่มีหนังสือสำคัญเนื้อที่ประมาณ ๑๐๐ ไร่ ซึ่งเป็นที่วังขังน้ำสำหรับทำนาเกลืออยู่ติดกับที่มีโฉนดนั้น จำเลยนำเจ้าพนักงานไปรังวัดที่ดินวังขังน้ำของโจทก์เพื่อออกโฉนด แล้วบุกรุกเข้าไปเอาลวดหนามกั้นเป็นรั้วระหว่างที่ดินโฉนดที่ ๔๔๙๔ กับที่ดินวังขังน้ำ และรื้อถอนป้ายแสดงอาณาเขตซึ่งโจทก์ปักไว้ทิ้ง ต่อมายังได้บุกรุกเข้าขุดดินในวังขังน้ำของโจทก์อีกขอให้พิพากษาแสดงว่าที่ดินวังขังน้ำเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง สั่งระงับการออกโฉนดที่ดินแก่จำเลย ให้จำเลยชำระค่าป้าย ๑๐๐ บาท และให้รื้อถอนรั้วลวดหนาม
โจทก์สำนวนที่ ๓ ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินนาเกลือโฉนดที่ ๔๔๙๕ เนื้อที่ ๒๒ ไร่เศษ และโฉนดที่ ๕๓๗๓ เนื้อที่ ๑๐ ไร่เศษ กับที่ดินวังขังน้ำ ๑๐๐ ไร่ อยู่ติดกับที่ดินโฉนดที่ ๔๔๙๕ กับอีก ๕๐ ไร่ อยู่ติดกับที่ดินโฉนดที่ ๕๓๗๓ และเป็นเจ้าของที่ดินนาเกลืออีกประมาณ ๓ ไร่ ที่วังขังน้ำกับที่นาเกลือ ๓ ไร่นี้ยังไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่จำเลยนำเจ้าพนักงานไปรังวัดที่วังขังน้ำทั้ง๒ แปลง กับที่นาเกลือ ๓ ไร่นั้นเพื่อออกโฉนด ต่อมายังเอาลวดหนามกั้นเป็นรั้วระหว่างที่วังขังน้ำกับที่ดินโฉนดที่ ๔๔๙๕ และระหว่างที่นาเกลือ ๓ ไร่ กับที่ดินโฉนดที่ ๕๓๗๓ และบุกรุกเข้าขุดดินในที่วังขังน้ำของโจทก์ ขอให้พิพากษาแสดงว่าที่วังขังน้ำ ๒ แปลง และที่นาเกลือ ๓ ไร่เป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องสั่งระงับการออกโฉนดให้จำเลย กับให้รื้อถอนรั้วลวดหนาม
จำเลยให้การว่า ที่พิพาททั้ง ๓ สำนวนและที่ดินข้างเคียงติดต่อกันจนจดทะเลราว ๑,๐๐๐ ไร่เศษ เดิมเป็นของขุนราชพินิจไจปู่ของจำเลยขุนราชพินิจไจได้ขุดลำรางทางด้านตะวันตกและด้านเหนือของที่เพื่อรับน้ำเข้าทำนาเกลือ เมื่อขุนราชพินิจไจตาย ที่ดินทั้งหมดตกทอดมาเป็นของนายส่านบิดาจำเลย นายส่านได้ขอออกโฉนดที่แปลงนี้บางส่วนแบ่งโฉนดออกเป็น ๑๔ แปลง อยู่ทางด้านเหนือของที่ดิน เนื้อที่ประมาณ ๓๐๐ ไร่ ที่เหลือก็ทำเป็นนาเกลือบ้าง เป็นที่เลี้ยงกุ้งบ้าง นายส่านทำพินัยกรรมยกที่ที่มีโฉนดให้บุตร ๙ คน รวมทั้งจำเลยด้วย ส่วนที่เหลือนอกโฉนด ๑,๐๐๐ ไร่เศษ ยกให้จำเลยแต่ผู้เดียว ที่พิพาททั้ง ๓ สำนวน เป็นส่วนหนึ่งของที่นอกโฉนดดังกล่าว นายส่านถึงแก่กรรมแล้วจำเลยได้ครอบครองที่ที่ได้รับตลอดมา ได้แจ้งการครอบครองที่นอกโฉนดไว้ ๔๒๐ ไร่เศษ ที่พิพาทเป็นของจำเลย จำเลยมีสิทธิกั้นรั้วหรือขุดดิน คดีโจทก์ขาดอายุความ จำเลยไม่ได้รื้อถอนป้ายของโจทก์สำนวนที่ ๒
ศาลชั้นต้นฟังว่า เดิมนายส่านบิดาจำเลยมีที่ดินเฉพาะที่พิพาทและบริเวณใกล้เคียงที่พิพาทนี้ ๑๔ แปลง ประมาณ ๓๐๐ ไร่ นายส่านทำพินัยกรรมยกให้บุตรอื่นคนละ ๑ แปลง ที่เหลือยกให้จำเลย ส่วนของนางสุมิตรนางสุมาลีและบุตรคนอื่น ๆ ของนางหลี ได้ขายและยกให้โจทก์ทั้งสาม การทำนาเกลือต้องมีวังขังน้ำ และมีประเพณีอยู่ในตำบลนาเกลืออำเภอเมืองสมุทรปราการว่าผู้ใดซื้อหรือได้รับการยกนาเกลือให้ มีสิทธิได้รับวังขังน้ำด้วย ประเพณีนี้มีมานานเป็นประเพณีที่สมควรและมีเหตุผลกำหนดแน่นอน และยอมรับนับถือกันมาไม่ขาดสาย จึงมีผลเป็นกฎหมายโจทก์ทุกคนจึงเป็นเจ้าของวังขังน้ำด้วย และพฤติการณ์ของจำเลยยังถือไม่ได้ว่ามีการแย่งการครอบครอง ปัญหาเรื่องอายุความจึงไม่มี ที่นาเกลือ ๓ ไร่ในสำนวนที่ ๓ ก็ฟังได้ว่าโจทก์ในสำนวนนั้นครอบครองอยู่ กรณีละเมิดเรื่องป้ายในสำนวนที่ ๒ คดีขาดอายุความ พิพากษาว่าที่วังขังน้ำตามแผนที่กลางเป็นของโจทก์ และที่ดิน ๓ ไร่ ติดต่อกับที่ดินโฉนดที่ ๔๔๙๖ เป็นของโจทก์สำนวนที่ ๑ ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องและขอออกโฉนดให้จำเลยรื้อรั้วลวดหนามในที่ดินโจทก์ออกไป คำขอนอกนี้ให้ยก
โจทก์สำนวนที่ ๓ และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ เป็นว่า ที่นอกโฉนดประมาณ ๓ ไร่ ติดกับโฉนดที่ ๕๓๗๓ เป็นของโจทก์สำนวนที่ ๓ ห้ามจำเลยกับบริวารเข้าเกี่ยวข้องและขอออกโฉนด ให้จำเลยรื้อรั้วลวดหนามในที่ดินส่วนนี้ด้วย
จำเลยฎีกาทั้ง ๓ สำนวน
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ดินที่พิพาทกันนี้แบ่งได้เป็น ๒ ประเภท คือ ที่ดินนาเกลือที่อยู่นอกโฉนดซึ่งเป็นที่ส่วนน้อย ที่ดินที่พิพาทกันเป็นส่วนใหญ่คือที่ดินที่โจทก์เรียกว่าวังขังน้ำ
ที่ดินที่มีโฉนดอยู่ทางเหนือมี ๗ เจ้าของด้วยกันคือ ที่ของโจทก์สำนวนที่ ๒ หนึ่งแปลงของโจทก์สำนวนที่ ๓ สองแปลง ของจำเลยสามแปลงของโจทก์สำนวนที่ ๑ หนึ่งแปลงและของนางสาววงษ์แข นางเล็ก นายถนอมคนละหนึ่งแปลง ที่ดินวังขังน้ำอยู่ทางด้านใต้ของที่ดินมีโฉนดเหล่านี้
สำหรับที่ดินนาเกลือส่วนน้อยที่อยู่นอกโฉนดตามสำนวนที่ ๑ และที่ ๓ อยู่ติดกับที่ในโฉนดของโจทก์สำนวนที่ ๑ และที่ ๓ มีสภาพเป็นนาเกลืออยู่ก่อนช้านานแล้ว น่าเชื่อว่าโจทก์สำนวนที่ ๑ และสำนวนที่ ๓ ได้ครอบครองมาหลายปีแล้วนับแต่ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินในโฉนดโจทก์ทั้ง ๒ สำนวนนั้นย่อมได้สิทธิครอบครอง
ที่ดินที่โจทก์เรียกว่าวังขังน้ำนั้นน่าเชื่อว่าเป็นวังขังน้ำสำหรับใช้ทำนาเกลือมาจริงดังโจทก์อ้าง เจ้าของนาเกลือกลุ่มเดียวกันคือโจทก์จำเลยและคนอื่น ๆ ได้ใช้วังขังน้ำนี้ร่วมกันในการทำนาเกลือตลอดมา มูลเหตุที่จะเกิดกรณีพิพาทกันก็เพราะราคาเกลือตกต่ำ ทางราชการแนะนำให้เปลี่ยนจากการทำนาเกลือมาเป็นนากุ้ง โจทก์ทั้ง ๓ สำนวนจึงเข้าขุดร่องในวังขังน้ำเพื่อเลี้ยงกุ้งปลา จำเลยก็ขัดขวางทันทีอ้างว่าที่วังขังน้ำทั้งหมดเป็นของจำเลย มีการแจ้งความกล่าวหาซึ่งกันและกันยืดเยื้อเรื้อรัง เจ้าหน้าที่ก็ไม่อาจชี้ขาดได้ ในที่สุดให้นำคดีขึ้นสู่ศาล
โจทก์ได้นำสืบถึงประเพณีเกี่ยวกับวังขังน้ำนี้ว่า ตามปกติใครเป็นเจ้าของนาเกลือก็เป็นเจ้าของวังขังน้ำด้วย เมื่อเลิกทำนาเกลือแล้วโจทก์ทั้ง ๓ สำนวนก็ตกลงแบ่งที่วังขังน้ำกันโดยถือว่า หัวนาเกลือด้านใต้ของแต่ละเจ้าของกว้างเท่าใด ที่วังขังน้ำตอนใต้ที่ตรงกันลงมาก็เป็นของผู้นั้นโดยวัดตลอดลงมาจนสุดที่วังขังน้ำ
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ดินวังขังน้ำนี้เจ้าของนาเกลือในกลุ่มหนึ่ง ๆ ใช้น้ำในวังขังน้ำสำหรับทำนาเกลือร่วมกัน ช่วยกันทะนุบำรุงรักษาวังขังน้ำในระหว่างที่ใช้น้ำในวังขังน้ำทำนาเกลืออยู่นั้นก็ไม่ปรากฏชัดว่าโจทก์จำเลยได้เข้าไปทำประโยชน์เพียงใดในที่นี้ จึงไม่อาจกำหนดลงได้ว่าเจ้าของที่ดินนาเกลือคนใดเป็นเจ้าของที่ดินวังขังน้ำตรงไหน เพราะความจริงต่างก็เพียงแต่อาศัยน้ำในวังขังน้ำใช้ทำนาเกลือไปตามฤดูกาลเท่านั้น การครอบครองเพิ่งจะเริ่มเมื่อเลิกทำนาเกลือเปลี่ยนมาทำนากุ้ง แต่พอโจทก์เข้าทำจำเลยก็ขัดขวางและเข้าทำบ้าง เกิดพิพาทกันในชั้นตำรวจและอำเภอตลอดมาสำหรับประเพณีที่โจทก์กล่าวอ้างนั้นก็ยังเลื่อนลอยอยู่ ไม่อาจถือได้ว่ามีอยู่เช่นนั้นจริง ข้อเท็จจริงฟังได้แต่เพียงว่าโจทก์จำเลยต่างแยกกันครอบครองและแย่งกันทำประโยชน์ในที่วังขังน้ำรายพิพาท อันเป็นที่ดินที่ยังไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ โจทก์จำเลยต่างก็ได้เข้าครอบครองที่พิพาท แต่ยังมิได้เข้าครอบครองโดยความสงบเป็นสัดส่วน จึงสมควรแบ่งที่วังขังน้ำรายพิพาทให้โจทก์จำเลยคนละครึ่งตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๕๘๗/๒๔๘๐
พิพากษาแก้ ให้แบ่งวังขังน้ำรายพิพาทในแต่ละสำนวนให้โจทก์และจำเลยในสำนวนนั้น ๆ คนละครึ่ง ถ้าการแบ่งไม่ตกลงกัน ก็ให้ประมูลราคาระหว่างโจทก์จำเลยก่อน เมื่อไม่ตกลงกันอีกจึงให้ขายทอดตลาดแบ่งเงินกันตามส่วน นอกจากที่แก้นี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share