แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกฐานปล้นทรัพย์ และฐานจัดหาหญิงเพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่นมาแล้ว 2 ครั้ง และในครั้งที่ 3 ต้องโทษฐานลักทรัพย์ ซึ่งเป็นความผิดอันเป็นเหตุร้ายอีก โจทก์จึงฟ้องขอให้ลงโทษกักกันจำเลย เมื่อปรากฏว่า คดีฐานลักทรัพย์ครั้งหลังนี้ยังไม่ถึงที่สุด ศาลย่อมไม่พิพากษาให้ลงโทษกักกันแก่จำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเคยได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาลมาแล้ว2 ครั้ง คือครั้งที่ 1 ฐานปล้นทรัพย์ จำคุก 10 ปี ครั้งที่ 2 ฐานจัดหาหญิงเพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่น จำคุก 2 เดือน ซึ่งมิใช่ความผิดฐานประมาทหรือลหุโทษ จำเลยได้รับโทษแล้ว ต่อมาเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2498 จำเลยได้บังอาจลักทรัพย์ของนายเต๊กเซียะ แซ่ตั้ง อีกศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 288, 72 ให้จำคุกจำเลยมีกำหนด 2 เดือน 20 วัน ปรากฏตามสำนวนคดีแดงที่ 1542/2498 ซึ่งความผิดครั้งนี้เป็นความผิดอาญาอันเป็นเหตุร้ายตามพระราชบัญญัติกักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย พ.ศ. 2479 มาตรา 4 จำเลยจึงเป็นผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติกักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย พ.ศ. 2479มาตรา 4, 8, 9 และนับโทษจำเลยต่อจากคดีแดงที่ 1542/2498 ของศาลชั้นต้นด้วย
จำเลยให้การรับว่า เคยต้องโทษมาแล้ว 2 ครั้งจริงดังฟ้องส่วนคดีแดงที่ 1542/2498 ศาลชั้นต้นก็พิพากษาลงโทษจำเลยจริงแต่จำเลยยังอุทธรณ์อยู่ ขณะนี้คดียังอยู่ระหว่างอุทธรณ์
ศาลจังหวัดสุพรรณบุรีพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีลักทรัพย์ครั้งหลังที่จำเลยถูกลงโทษยังอยู่ระหว่างอุทธรณ์ คดียังไม่ถึงที่สุดศาลอุทธรณ์อาจพิพากษาปล่อยจำเลยก็ได้ ถ้าศาลอุทธรณ์พิพากษาปล่อยจำเลย ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยมีสันดานเป็นผู้ร้าย จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาคดีนี้แล้ว ข้อที่โจทก์ฎีกาขอให้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ พิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้องของโจทก์ทุกประการนั้น ศาลฎีกาได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ขึ้นมาในระหว่างที่คดีเรื่องจำเลยลักทรัพย์ครั้งที่ 3 ยังอยู่ในระหว่างอุทธรณ์และยังไม่ถึงที่สุดนั้น ถ้าศาลพิพากษาลงโทษกักกันจำเลยตามที่โจทก์ฟ้องแล้ว ภายหลังศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีเรื่องลักทรัพย์เสียแล้ว เหตุที่โจทก์อ้างว่า จำเลยมีสันดานเป็นผู้ร้ายในคดีนี้ก็เป็นอันไม่มี ซึ่งเท่ากับศาลพิพากษาลงโทษจำเลยในคดีนี้โดยจำเลยไม่มีความผิด ฉะนั้น ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
จึงพิพากษายืน ให้ยกฎีกาโจทก์