แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การทวงหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นการบังคับตามสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจทำได้โดยไม่ต้องฟ้องคดี เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจทำได้โดยไม่ต้องฟ้องคดีต่อศาล ดังนั้นการทวงหนี้จึงเป็นการทำการอื่นใดอันนับว่ามีผลเป็นอย่างเดียวกับการฟ้องคดีอันเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 173 มิใช่ต้องรอให้มีการออกหนังสือแจ้งยืนยันหนี้ตามมาตรา 119 วรรคสอง เสียก่อน จึงจะถือว่าเป็นการอื่นใดนับว่ามีผลอย่างเดียวกับการฟ้องคดี เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้แจ้งความเป็นหนังสือไปยังผู้ร้องให้ชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินเท่ากับเป็นการบังคับตามสิทธิเรียกร้องอันมีผลอย่างเดียวกับการฟ้องคดีภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทจึงไม่ขาดอายุความ อายุความเป็นระยะเวลาอย่างหนึ่ง ดังนั้น การนับอายุความเป็นปีจึงต้องมิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลารวมคำนวณเข้าด้วย ระยะเวลาที่นับนั้นจึงต้องสิ้นสุดลงในวันก่อนหน้าจะถึงวันแห่งปีสุดท้ายอันเป็นวันตรงกับวันเริ่มระยะเวลา ตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทมีกำหนด3 ปี นับแต่ทวงถาม เมื่อทวงถามวันที่ 2 กันยายน 2526 อายุความจึงเริ่มนับวันที่ 3 กันยายน 2526 เป็นวันแรก และสิ้นสุดลงในวันที่ 2กันยายน 2529 อันเป็นวันสุดท้าย.
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2528 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ส่งหนังสือแจ้งให้ผู้ร้องชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งผู้ร้องได้ออกให้แก่ลูกหนี้จำนวน 8,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ผู้ร้องได้ปฏิเสธหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เจ้าพนักงานพิทักทรัพย์สอบสวนแล้วมีหนังสือยืนยันหนี้ให้ผู้ร้องชำระเงินจำนวนดังกล่าวผู้ร้องไม่เคยกู้ยืมหรือออกตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวแก่ลูกหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1001 ประกอบมาตรา 169 ลูกหนี้เคยมีหนังสือทวงถามให้ผู้ร้องชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อวันที่2 กันยายน 2526 ดังนั้นเมื่อนับจากวันทวงถามครั้งแรกถึงวันที่17 กันยายน 2529 ซึ่งเป็นวันที่ส่งหนังสือแจ้งให้ชำระหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีผลบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 วรรคท้ายก็เกิน 3 ปีแล้ว ตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวจึงขาดอายุความเช่นกัน เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงไม่อาจมีหนังสือยืนยันหนี้ให้ผู้ร้องชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งขาดอายุความแล้วได้ ขอให้จำหน่ายชื่อผู้ร้องออกจากบัญชีลูกหนี้ของบริษัทลูกหนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คัดค้านว่า ตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ใช้เป็นหลักฐานในการแจ้งให้ชำระหนี้ไปยังผู้ร้องนั้นเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่ผู้ร้องออกให้แก่บริษัทลูกหนี้ถึงกำหนดใช้เงินเมื่อทวงถามอายุความจึงต้องเริ่มนับแต่วันทวงถามให้ใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินนั้น ไม่ใช่เริ่มนับอายุความตั้งแต่วันออกตั๋วสัญญาใช้เงินตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ออกหนังสือแจ้งให้ชำระหนี้ไปยังผู้ร้องให้ชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวยังไม่เกิน 3 ปี จึงยังไม่ขาดอายุความขอให้ยกคำร้องและมีคำบังคับให้ผู้ร้องชำระเงินจำนวน 8,000,000บาท พร้อมดอกเบี้ย แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์ แล้ว ข้อเท็จจริงที่นำสืบรับกันและข้อที่ไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นนี้ฟังได้ว่า ผู้ร้องได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินลงวันที่ 2 สิงหาคม 2526 จำนวนเงิน 8,000,000บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17 ต่อปี นับแต่วันออกตั๋วสัญญาใช้เงินโดยกำหนดชำระเงินเมื่อทวงถามให้ไว้แก่ลูกหนี้ลูกหนี้ได้มีหนังสือทวงถามให้ผู้ร้องชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2526 โดยขอให้ชำระให้เสร็จภายในวันที่ 9 กันยายน 2526 แต่ผู้ร้องมิได้ชำระหนี้ดังกล่าวแก่ลูกหนี้ตามที่ทวงถาม ต่อมาศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2528 ผู้คัดค้าน ในฐานะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตรวจสอบหลักฐานที่ได้รับมาแล้ว ได้ทำหนังสือทวงถามแจ้งไปยังผู้ร้องเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2529 ขอให้ชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าว ผู้ร้องได้มีหนังสือปฏิเสธหนี้มายังผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านสอบสวนแล้วมีหนังสือแจ้งยืนยันหนี้ไปยังผู้ร้องโดยวิธีส่งทางไปรษณีย์ เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2530 ซึ่งผู้ร้องได้รับเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2530 ปัญหาที่จะวินิจฉัยคือข้อที่ผู้ร้องฎีกาว่าตั๋วสัญญาใช้เงินที่กล่าวข้างต้นขาดอายุความแล้ว เนื่องจากลูกหนี้ได้ทวงถามให้ผู้ร้องชำระหนี้เมื่อวันที่ 2กันยายน 2526 อายุความย่อมเริ่มนับตั้งแต่นั้น ต่อมาผู้คัดค้านมีหนังสือทวงถามให้ผู้ร้องชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าว และผู้ร้องได้รับหนังสือเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2529 แต่ผู้ร้องได้ปฏิเสธหนี้และผู้คัดค้านได้มีหนังสือยืนยันหนี้แจ้งไปยังผู้ร้องโดยส่งถึงผู้ร้องเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2530 (ที่ถูกเป็นวันที่ 8กันยายน 2530) เมื่อนับระยะเวลาจากวันที่ 2 กันยายน 2526 ที่ผู้ร้องได้รับหนังสือทวงถามครั้งแรกจนถึงวันที่ 8 มิถุนายน 2530(ที่ถูกเป็นวันที่ 8 กันยายน 2530) ที่ผู้ร้องได้รับหนังสือยืนยันหนี้ เป็นเวลาเกิน 3 ปีแล้ว โดยผู้ร้องเห็นว่าการที่ผู้คัดค้านในฐานะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทวงถามให้ชำระหนี้ครั้งแรกอันเป็นการทวงหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119วรรคแรกนั้น ยังไม่ถือว่าเป็นการทำการอื่นใดอันนับว่ามีผลเป็นอย่างเดียวกับการฟ้องคดี ต้องได้มีหนังสือแจ้งยืนยันหนี้ตามมาตรา 119 วรรคสอง จึงจะถือว่าเป็นการทำการอื่นใดอันนับว่ามีผลเป็นอย่างเดียวกับการฟ้องคดี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 173 อีกประการหนึ่งผู้ร้องอ้างว่าผู้ร้องได้รับหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2526 อายุความต้องเริ่มนับทันทีในวันนั้น มิใช่เริ่มนับในวันที่ 3 กันยายน 2526 ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ด้วยเหตุนี้อายุความ 3 ปี จึงครบกำหนดในวันที่ 1 กันยายน 2529 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 159วรรคสอง ฉะนั้นแม้จะถือว่าการที่ผู้คัดค้านส่งหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้ไปถึงผู้ร้องในวันที่ 2 กันยายน 2529 เป็นการทำการอื่นใดอันนับว่ามีผลเป็นอย่างเดียวกับการฟ้องคดีก็ตาม ก็เป็นการกระทำภายหลังที่สิทธิเรียกร้องนั้นขาดอายุความแล้ว ตามข้อฎีกาดังกล่าวของผู้ร้อง ศาลฎีกาเห็นว่า ในเรื่องการทวงหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 119 ที่มีผลถึงอายุความก็ดี การเริ่มนับอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ผู้ร้องยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนอยู่ที่ถูกแล้วการที่ผู้คัดค้านในฐานะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แจ้งความเป็นหนังสือไปยังผู้ร้องให้ชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119 วรรคแรกนั้นเป็นการบังคับตามสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ซึ่งผู้คัดค้านในฐานะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจทำได้โดยไม่ต้องฟ้องคดีต่อศาลจึงต้องถือว่าเป็นการทำการอื่นใดอันนับว่ามีผลเป็นอย่างเดียวกับการฟ้องคดีอันเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 173 แล้ว มิใช่ว่าต้องรอให้มีการออก หนังสือแจ้งยืนยันหนี้ตามมาตรา 119 วรรคสอง เสียก่อนจึงจะถือว่าเป็นการทำการอื่นใดอันนับว่ามีผลเป็นอย่างเดียวกับการฟ้องคดีดังความเห็นของผู้ร้อง เมื่ออายุความตั๋วสัญญาใช้เงินในคดีนี้มีกำหนด 3 ปี นับแต่วันทวงถาม คือวันที่ 2 กันยายน 2526 วันสุดท้ายของอายุความจึงได้แก่วันที่ 2 กันยายน 2529 ในเมื่อต่อมาศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เดิมและผู้คัดค้านในฐานะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีหนังสือแจ้งทวงหนี้ไปยังผู้ร้องตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119 วรรคแรก เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2529 เช่นนี้ ย่อมเห็นได้ว่าผู้คัดค้านได้บังคับตามสิทธิเรียกร้องอันมีผลอย่างเดียวกับการฟ้องคดีภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดแล้ว ตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับดังกล่าวจึงยังไม่ขาดอายุความ ส่วนข้อฎีกาที่ว่าอายุความในกรณีต้องเริ่มนับแต่วันที่ 2 กันยายน 2526 เป็นวันแรกและต้องครบกำหนด 3 ปี ในวันที่1 กันยายน 2525 นั้น เห็นว่า อายุความเป็นระยะเวลาอย่างหนึ่งการนับอายุความจึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 158 ประกอบด้วยมาตรา 159 วรรคสอง กล่าวคือ กรณีที่นับเป็นปี ดังเช่นที่ปัญหาในคดีนี้ มิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลารวมคำนวณเข้าด้วย และในเมื่อระยะเวลามิได้เริ่มนับจากวันแรกของปีระยะเวลาที่นับนั้นจึงต้องสิ้นสุดลงในวันก่อนหน้าจะถึงวันแห่งปีสุดท้ายอันเป็นวันตรงกับวันเริ่มระยะเวลา อายุความ 3 ปีในกรณีนี้จึงเริ่มนับวันที่ 3 กันยายน 2526 เป็นวันแรกและวันที่ 1 กันยายน2529 เป็นวันสุดท้ายดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยชอบแล้ว ฎีกาผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.