แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ซื้อเชื่อสิ่งของจากร้านค้าของโจทก์ทางพิจารณาปรากฏว่าจำเลยได้ซื้อเชื่อสิ่งของจากร้านวิศาลพานิชและรับสภาพหนี้เป็นลูกหนี้ของร้านวิศาลพานิช ร้านวิศาลพานิช เป็นของบิดาโจทก์ โจทก์ไม่ใช่เจ้าของร้าน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของและผู้จัดการโรงเลื่อยจักรมูลชัยได้ซื้อเชื่อสิ่งของจากร้านค้าของโจทก์ เป็นเงิน 15,801.53 บาท จำเลยได้มาทำหนังสือรับสภาพหนี้ยอมผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบกำหนดจำเลยไม่ชำระหนี้ ขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การว่า ไม่เคยเป็นหนี้โจทก์หรือทำหนังสือรับสภาพยอมชำระหนี้ให้โจทก์ ร้านค้านั้นไม่ใช่เป็นของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ร้านค้าโจทก์นั้นไม่ได้เป็นนิติบุคคล เป็นของบิดาโจทก์ โจทก์เป็นผู้จัดการ จำเลยซื้อสิ่งของไปจากโจทก์โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้อง พิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าร้านค้านั้นเป็นของบิดาโจทก์ โจทก์เป็นเพียงตัวแทน จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยซื้อของและรับสภาพหนี้ในนามของบริษัท จึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีมีปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องคดีหรือไม่ และจำเลยจะต้องรับผิดในหนี้สินรายนี้เป็นส่วนตัวหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้ซื้อเชื่อสิ่งของจากร้านค้าของโจทก์ แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่า จำเลยในนามบริษัทโรงเลื่อยจักรมูลชัยจำกัดได้ซื้อเชื่อของจากร้านวิศาลพานิชและได้รับสภาพหนี้เป็นลูกหนี้ของร้านวิศาลพานิช ร้านวิศาลพานิชเป็นของนายรัตน์บิดาโจทก์โจทก์ไม่ใช่เจ้าของ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องร้องเรียกหนี้สินรายนี้เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้อง จึงไม่จำต้องวินิจฉัยในปัญหาที่ว่าจำเลยต้องรับผิดในหนี้สินรายนี้เป็นส่วนตัวหรือไม่
พิพากษายืน