คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1866/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เจ้าพนักงานสืบทราบว่า จำเลยกับพวกร่วมกันมีและส่งยาเสพติดให้โทษออกนอกราชอาณาจักรโดยทางเครื่องบินมาหลายครั้งแล้ว วันเกิดเหตุได้รับแจ้งจากสายลับว่า จำเลยกับพวกจะส่งไปอีก จึงพากันไปซุ่มดักรออยู่ในบริเวณที่จอดรถชั้นล่างของห้องผู้โดยสารขาออกของท่าอากาศยานดอนเมืองที่จำเลยเคยนำรถมาจอด เมื่อจำเลยขับรถเก๋งมาจอด ณ ที่นั้น เจ้าพนักงานจึงตรวจค้น พบเฮโรอีน 32 ถุง ฝิ่นสุก 15 ห่อ รวม 30 กว่ากิโลกรัม มีราคาถึง520,000 บาทเศษ การจับกุมดังนี้มิใช่กระทำโดยบังเอิญ ปริมาณของของกลางตลอดจนสถานที่ที่นำมาบ่งชัดว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาส่งออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย ตามพฤติการณ์ก็น่าเชื่อว่าจำเลยกับพวกได้นัดแนะกันมาก่อนแล้ว เพียงแต่รอนำ ของกลางขึ้นไปที่ห้องผู้โดยสารขาออกชั้นบนเพื่อส่งออกทางเครื่องบินเท่านั้น การกระทำของจำเลยกับพวกเข้าขั้นลงมือกระทำความผิดแล้ว แต่ไม่บรรลุผลเพราะเจ้าพนักงานจับกุมเสียก่อน จึงมีความผิดฐานพยายามส่งเฮโรอีนและฝิ่นออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย
โจทก์บรรยายฟ้องมาแจ้งชัดว่า จำเลยพยายามส่งเฮโรอีนของกลางออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย และอ้างมาตรา 4 ทวิ อันเป็นบทห้ามกระทำผิดแล้ว แม้จะไม่ได้อ้างมาตรา20 ซึ่งเป็นบทลงโทษมาด้วย โดยอ้างแต่มาตรา 20 ตรีมาเพียงบทเดียว ศาลก็ลงโทษตามมาตรา 20 วรรคสี่ได้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ (วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ทั้ง 2 วรรค)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกที่หลบหนีร่วมกันมีเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์10,873 กรัม กับมีฝิ่นสุก 19,500 กรัม ไว้ในความครอบครอง โดยฝ่าฝืนกฎหมายและจำเลยกับพวกได้บังอาจพยายามส่งเฮโรอีนและฝิ่นดังกล่าวออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2465 มาตรา 4 ทวิ มาตรา 20 ตรี ตามที่มีแก้ไขพระราชบัญญัติฝิ่นพ.ศ. 2472 มาตรา 6, 8, 51, 53 ตามที่มีแก้ไข และริบเฮโรอีน ฝิ่นและกระเป๋าเดินทางของกลาง

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2465 มาตรา 20 ตรี แก้ไข (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2504 มาตรา 7 และผิดฐานพยายามนำเฮโรอีนออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย ตามมาตรา 20 วรรคสี่แก้ไข (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2504 มาตรา 5 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 52อันเป็นความผิดหลายบทกระทงหนึ่ง ให้ลงโทษจำคุกจำเลยในความผิดฐานพยายามนำเฮโรอีนออกนอกราชอาณาจักร เพื่อจำหน่ายอันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ไว้ตลอดชีวิต กับมีความผิดฐานมีฝิ่นไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติฝิ่นพ.ศ. 2472 มาตรา 53 แก้ไข (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2502 มาตรา 5 และผิดฐานพยายามนำฝิ่นออกนอกราชอาณาจักร เพื่อจำหน่ายตามมาตรา 51 แก้ไข(ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2502 มาตรา 3 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 อันเป็นความผิดหลายบทอีกกระทงหนึ่งให้ลงโทษจำเลยฐานมีฝิ่นไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตอันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 มีกำหนด 10 ปี เมื่อเปลี่ยนโทษจำคุกในความผิดกระทงแรก เป็นโทษจำคุก 50 ปีตามมาตรา 91 แล้ว รวมเป็นโทษจำคุก 60 ปี เฮโรอีน ฝิ่น และกระเป๋าเดินทาง ของกลางให้ริบ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยกับพวกร่วมกันมีเฮโรอีนและฝิ่นของกลางไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมายจริง ปัญหาต่อไปว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามส่งเฮโรอีนและฝิ่นของกลางออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายหรือไม่ ได้พิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบแล้ว เห็นว่า ก่อนที่เจ้าพนักงานจะไปดักตรวจค้นพบของกลาง เจ้าพนักงานได้สืบสวนถึงพฤติการณ์ของจำเลยกับพวก จนปรากฏแน่ชัดว่าจำเลยกับพวกร่วมกันมีและส่งยาเสพติดให้โทษโดยทางเครื่องบินมาแล้วหลายครั้ง ฉะนั้นในวันเกิดเหตุเมื่อนายจำเนียรพยานโจทก์รับแจ้งจากสายลับว่าจำเลยกับพวกจะส่งยาเสพติดให้โทษออกนอกราชอาณาจักรอีก นายจำเนียรกับพวกจึงไปซุ่มดักรออยู่ในบริเวณที่จอดรถชั้นล่างของห้องผู้โดยสารขาออกที่จำเลยเคยนำรถมาจอด จำเลยก็ได้ขับรถยนต์เก๋งเข้ามาจอดในบริเวณที่จอดรถดังกล่าว จึงได้ทำการตรวจค้นและพบเฮโรอีนและฝิ่นของกลางตามที่สืบทราบมาจริง ดังนี้เห็นว่าการจับกุม มิใช่กระทำโดยเหตุบังเอิญ แต่สืบทราบมาก่อนแล้ว และเมื่อพิจารณาประกอบกับปริมาณเฮโรอีนและฝิ่นของกลางที่จับได้ตลอดจนสถานที่นำมาแล้ว ยิ่งบ่งชัดว่าจำเลยกับพวกนำเฮโรอีนและฝิ่นของกลางมามีเจตนาส่งออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายนั่นเอง อีกทั้งโดยพฤติการณ์น่าเชื่อว่า จำเลยกับพวกได้มีการนัดแนะกันมาก่อนแล้วด้วย เพียงแต่รอนำของกลางขึ้นไปที่ห้องผู้โดยสารขาออกชั้นบนเพื่อส่งออกทางเครื่องบินตามวิธีการส่งออกเท่านั้น ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่าการกระทำของจำเลยกับพวกเข้าขั้นลงมือกระทำความผิดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผลเพราะเจ้าพนักงานทำการจับกุมเสียก่อน จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามส่งเฮโรอีนและฝิ่นของกลางออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายตามที่โจทก์ฟ้อง พยานจำเลยไม่อาจหักล้างพยานโจทก์ได้

ปัญหาต่อไปว่า เฉพาะความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษโจทก์อ้างบทลงโทษฐานมีไว้ซึ่งยาเสพติดให้โทษไว้ในความครอบครองตามมาตรา 20 ตรี มาเพียงบทเดียว ไม่ได้อ้างบทลงโทษฐานส่งออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายตามมาตรา 20 มาด้วย ดังนี้ศาลจะลงโทษจำเลยข้อหาพยายามส่งออกนอกราชอาณาจักร เพื่อจำหน่ายได้หรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(6) บัญญัติว่าคำฟ้องจะต้องอ้างมาตราในกฎหมาย ซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิด ซึ่งคดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องมาแจ้งชัดว่า จำเลยบังอาจส่งเฮโรอีนของกลางนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย และอ้างบทมาตรา 4 ทวิ อันเป็นบทห้ามกระทำผิดมาด้วย ดังนี้แม้ไม่อ้างบทลงโทษมาย่อมลงโทษจำเลยตามมาตรา 20 วรรคสี่ได้ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ ด้วยเหตุดังวินิจฉัย ที่ศาลล่างพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share