คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1863/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยมีเงินเดือนและเบี้ยเลี้ยงรวมเดือนละประมาณ 26,000 บาท จำเลยเป็นหนี้โจทก์จำนวน 104,025.39 บาท ซึ่งเป็นหนี้ที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตซื้อสินค้าและเบิกเงินสดโดยจำเลยไม่เคยชำระหนี้แก่โจทก์เลยเป็นเวลานานเกือบ 4 ปี ทำให้จำนวนหนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อนับถึงวันฟ้องมีจำนวน 204,600 บาท ซึ่งเมื่อเทียบกับรายได้ต่อเดือนของจำเลยแล้วจำนวนหนี้มีมากกว่ารายได้ แม้จำเลยเป็นข้าราชการมีเงินเดือน แต่เงินเดือนตลอดทั้งบำเหน็จบำนาญไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 286(2) จำเลยรับราชการมานานแต่ไม่มีทรัพย์สินอื่นใดอีก แสดงว่าเงินเดือนและเบี้ยเลี้ยงของจำเลยมีจำนวนเพียงแค่การดำรงชีพของจำเลยในแต่ละเดือนเท่านั้น ไม่เหลือพอที่จะแบ่งไปผ่อนชำระหนี้แก่โจทก์ได้ เงินสะสมของข้าราชการมีสภาพเป็นส่วนหนึ่งของเงินเดือนข้าราชการ แม้จำเลยจะมีเงินสะสมในกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการก็ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีเช่นกัน ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวและไม่อาจชำระหนี้ได้ทั้งหมดทั้งพฤติการณ์ของจำเลยมิได้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในทางที่จะขวนขวายเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ด้วยความสุจริตใจ คดีจึงไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 1215/2538 ของศาลแพ่ง และเมื่อคำนวณยอดหนี้คิดถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน200,184.61 บาท แต่จำเลยไม่ชำระหนี้ โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยออกขายทอดตลาด แต่จำเลยไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ได้ และจำเลยได้หลบหนีไปจากเคหสถานที่เคยอยู่ ก่อนฟ้องโจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้แล้ว 2 ครั้ง มีระยะห่างกันไม่น้อยกว่า30 วันจำเลยรับหนังสือแล้วเพิกเฉย ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด และพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย

จำเลยให้การว่า จำเลยประกอบอาชีพรับราชการมีรายได้และทรัพย์สินเพียงพอที่จะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง (ที่ถูกมีคำพิพากษา) ให้ยกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 1215/2538 ของศาลแพ่งคำนวณหนี้ถึงวันฟ้องคดีนี้เป็นเงิน 200,184.61 บาท จำเลยไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวและอาจชำระหนี้ได้ทั้งหมดหรือมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้ล้มละลายหรือไม่ โจทก์มีนายจุลเดช ธรรมกุลางกูร และนายพนมกร ปิ่นเกตุ เป็นพยานเบิกความว่า เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่โจทก์แล้ว โจทก์ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีและได้สืบหาทรัพย์สินของจำเลยแต่จำเลยไม่มีทรัพย์สินที่จะบังคับคดีได้ตามรายงานการสืบทรัพย์เอกสารหมาย จ.6ตัวแทนของโจทก์ได้ไปตรวจสอบที่สำนักงานที่ดินในกรุงเทพมหานครและจังหวัดนครราชสีมาไม่พบชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งจำเลยเบิกความตอบคำถามค้านของทนายโจทก์ว่า จำเลยมีรายได้เป็นเงินเดือนและเบี้ยเลี้ยง จำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นอยู่ในความครอบครอง ซึ่งบัญชีเลื่อนขั้นและอัตราเงินเดือนเอกสารหมาย ล.1 ระบุว่าจำเลยมีเงินเดือน 21,970 บาท และได้ความจากคำเบิกความของจำเลยว่า จำเลยมีรายได้พิเศษเป็นเบี้ยเลี้ยงเดือนละ 3,000 บาท ถึง 5,000 บาท เห็นว่า จำเลยมีรายได้จากเงินเดือนและเบี้ยเลี้ยงรวมเดือนละประมาณ 26,000 บาท เมื่อวันที่ 13 เมษายน2537 จำเลยเป็นหนี้โจทก์ทั้งสิ้น 104,025.39 บาท ซึ่งเป็นหนี้ที่เกิดจากการที่จำเลยและนางวรรณรัตน์ เอี่ยมเจริญ ใช้บัตรเครดิตซื้อสินค้าและเบิกเงินสด เมื่อนับถึงวันฟ้องคดีนี้เป็นเวลานานเกือบ 4 ปี จำเลยไม่เคยชำระหนี้แก่โจทก์เลย เป็นเหตุให้จำนวนหนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามระยะเวลาที่ผ่านไปถึงวันฟ้องเป็นเงิน 204,600 บาท เมื่อเทียบจำนวนหนี้กับรายได้ต่อเดือนของจำเลยแล้วจำนวนหนี้จึงมากกว่ารายได้ และจำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นใดอีก แม้จำเลยเป็นข้าราชการมีเงินเดือนแต่เงินเดือนตลอดทั้งเงินบำเหน็จหรือบำนาญไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 286(2) ประกอบกับจำเลยไม่เคยชำระหนี้แก่โจทก์เลย ทั้งไม่ปรากฏพฤติการณ์ของจำเลยในทางที่ขวนขวายเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยรับราชการมานานจนกระทั่งได้เลื่อนยศเป็นพันตำรวจโทแต่จำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นใด ย่อมแสดงให้เห็นว่าเงินเดือนและเบี้ยเลี้ยงของจำเลยมีจำนวนเพียงแค่การดำรงชีพของจำเลยในแต่ละเดือนเท่านั้นไม่เหลือพอที่จะแบ่งไปผ่อนชำระหนี้แก่โจทก์ได้ ที่จำเลยอ้างว่าในตอนที่ถูกโจทก์ฟ้องคดีแพ่งจำเลยไม่ทราบเรื่องจึงมิได้ชำระหนี้นั้น เมื่อจำเลยถูกฟ้องคดีนี้จำเลยก็ย่อมทราบจำนวนหนี้ที่มีหน้าที่ต้องชำระแล้ว แต่จำเลยก็มิได้ชำระหนี้แก่โจทก์แต่อย่างใด ข้ออ้างของจำเลยจึงไม่มีเหตุผลให้น่าเชื่อถือ และที่จำเลยแก้ฎีกาว่า จำเลยเป็นสมาชิกกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการมีเงินสะสมในกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการถึงวันที่ 31ธันวาคม 2543 จำนวน 280,112.16 บาท หากลาออกจากราชการจะได้เงินบำเหน็จประมาณ 660,000 บาท หรือเงินบำนาญเดือนละ 13,000 บาท นั้น เห็นว่า เงินสะสมของข้าราชการมีสภาพเป็นส่วนหนึ่งของเงินเดือนข้าราชการ จึงไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีเช่นกัน ข้ออ้างของจำเลยจึงฟังไม่ขึ้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวและไม่อาจชำระหนี้ได้ทั้งหมด ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยได้แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีความตั้งใจจะชำระหนี้แก่โจทก์ด้วยความสุจริตใจ คดีจึงไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลายที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”

พิพากษากลับ ให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 14

Share