คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1863/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยได้ครอบครองที่พิพาทถึง 30 ปี ได้เสียภาษีบำรุงท้องที่และได้รับ น.ส.3 ต่อมาทางราชการได้รังวัดปักหลักเขตทำเลเลี้ยงสัตว์สาธารณะ จำเลยได้ฟ้องเจ้าพนักงานเป็นคดีแพ่ง เมื่อทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน จำเลยยอมรับว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ และฝ่ายเจ้าพนักงานยินยอมให้จำเลยครอบครองที่พิพาทไปก่อน โดยจะดำเนินการให้ทางราชการถอนสภาพที่พิพาทนั้น เปิดโอกาสให้จำเลยจับจองครอบครองที่พิพาท แม้จะยังมิได้มีพระราชกฤษฎีกาให้เพิกถอนที่ดินดังกล่าวก็ตาม ก็เป็นพฤติการณ์ที่ทำให้จำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่าจำเลยเข้าครอบครองโดยชอบ หาได้จงใจฝ่าฝืนกฎหมายไม่ จึงขาดเจตนาอันเป็นองค์ประกอบความผิดทางอาญา จำเลยไม่มีความผิด (อ้างฎีกาที่ 1462/2507)

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้พิจารณาพิพากษารวมกัน
โจทก์ฟ้องและขอแก้ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองสำนวนได้กระทำผิดกฎหมาย เข้ายึดถือครอบครองแผ้วถางทำลายป่าและตัดฟันไม้หวงห้ามในส่วนหนึ่งของป่าโคกหนองพลวงซึ่งเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ ทางราชการประกาศเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์สาธาณสมบัติของแผ่นดินมาตั้งแต่ปี ๒๔๖๗ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๔,๖,๗,๑๑,๕๔,๕๕,๗๒,๗๓; (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๑๑,๑๖,๑๗ พระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้าม พ.ศ. ๒๕๐๔ มาตรา ๓,๔ ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๙,๑๐๘ บังคับให้จำเลยออกจากป่าที่แผ้วถางและครอบครอง นับโทษจำเลยทั้งสองสำนวนติดต่อกัน และต่อจากคดีอาญาแดงที่ ๑๑๘๘/๒๕๐๙ ของศาลชั้นต้นเดียวกัน
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยแผ้วถางป่าตัดฟันไม้หวงห้ามดังฟ้อง ในที่ดินที่จำเลยมีสิทธิครอบครองและได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ทั้งโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยเข้าครอบครองภายหลังที่ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พิพากษาให้ยกฟ้องทั้งสองสำนวน
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษตามฟ้องทั้งสองสำนวน
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยได้แผ้วถางป่า ตัดฟันไม้หวงห้ามประเภท ก. ชนิดและจำนวนดังฟ้อง แต่เนื้อที่ที่จำเลยแผ้วถางครอบครองเพียง ๗ ไร่๒ งานเท่านั้น สภาพที่ดินดังกล่าวเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกัน การถอนสภาพให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกาตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๘ ซึ่งจนปัจจุบันก็ยังมิได้มีการเพิกถอน จำเลยอ้างสิทธิครอบครองตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ล.๑ ที่เจ้าพนักงานออกให้ ก็ยังเป็นความผิดทั้งสองสำนวน พิพากษากลับ ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๑๑,๕๔,๗๒,๗๓ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๑๑,๑๖,๑๗ ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๙,๑๐๘ อันเป็นการกระทำผิดตามตามกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ ลงโทษจำเลยทั้งสองสำนวนตามพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๑๗ ซึ่งเป็นบทหนัก ให้จำคุกจำเลยสำนวนละ ๖ เดือน โดยไม่นับโทษติดต่อกัน แต่ให้รอการลงโทษทั้งสองสำนวนไว้ภายในกำหนด ๓ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ บังคับให้จำเลยทั้งสองสำนวนออกจากป่าที่แผ้วถางและครอบครอง
จำเลยทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยแผ้วถางป่ากับตัดฟันไม้หวงห้ามในที่เกิดเหตุซึ่งเป็นที่สาธารณประโยชน์ทำเลเลี้ยงสัตว์จริง แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทมาช้านานถึง ๓๐ ปี ได้เสียภาษีบำรุงท้องที่ตามเอกสารใบเสร็จที่ส่งศาลได้รับ น.ส.๓ เอกสาร ล. เมื่อปี ๒๕๐๕ ก่อนที่ทางราชการออกไปรังวัดปักหลักเขตทำเลเลี้ยงสัตว์สาธารณะเมื่อปี ๒๕๐๗ จำเลยก็โต้แย้ง ถึงฟ้องพวกเจ้าพนักงานเป็นคดีแพ่ง เมื่อทำสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีที่อ้างถึงมีความว่า จำเลยยอมรับว่าที่ดินนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเป็นที่สาธารณประโยชน์ ฝ่ายเจ้าพนักงานยินยอมให้จำเลยครอบครองที่ดินตามเอกสาร ล. ๑ ไปก่อน โดยจะดำเนินการให้ทางราชการถอนสภาพที่ดินนั้น เปิดโอกาสให้จำเลยจับจองครอบครองที่ดินตามเอกสาร ล.๑ แม้จะยังมิได้มีพระราชกฤษฎีกาให้เพิกถอนที่ดินดังกล่าวก็ตาม เป็นพฤติการณ์ที่ทำให้จำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่า จำเลยเข้าครอบครองโดยชอบ หาได้จงใจฝ่าฝืนกฎหมายไม่ ขาดเจตนาอันเป็นองค์ประกอบความผิดทางอาญา จำเลยไม่มีความผิดตามฟ้อง ดังนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๔๖๒/๒๕๐๙
พิพากษากลับ ให้บังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในผลที่ให้ยกฟ้อง

Share