แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ชั้นสอบสวนจำเลยให้การว่าจำคนร้ายได้ตามพฤติการณ์ที่จำเลยเห็นคนร้ายครั้งแรกในลักษณะที่จำเลยขับขี่รถจักรยานยนต์ผ่านมา ไม่ได้คิดมาก่อนว่าจะถูกปล้นทรัพย์ เมื่อรถคนร้ายแซงปาดหน้า จำเลยหักรถกลับหนีไปตามทางเดิม จึงเห็นคนร้ายในระยะสั้นมากและอยู่ในอาการรีบร้อน ดังนั้นที่จำเลยเบิกความต่อศาลว่าจำคนร้ายได้คลับคล้ายคลับคลาจึงเชื่อว่าเป็นความจริง จำเลยไม่มีความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 จำคุก 6 เดือน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “โจทก์มีพยานรู้เห็นมาเบิกความว่า ที่จำเลยให้การในชั้นสอบสวนว่าจำคนร้ายได้เป็นความจริงนั้นมีร้อยตำรวจเอกรณชัยและนายกิติโดยร้อยตำรวจเอกรณชัยในฐานะพนักงานสอบสวนซึ่งสอบสวนจำเลยว่า ในชั้นสอบสวนจำเลยให้การว่าจำคนร้ายได้ และนายกิติในฐานะเป็นอัยการศาลมณฑลทหารบกที่ 4 (อัยการประจำศาลจังหวัดสวรรคโลก) ซึ่งได้สอบปากคำจำเลยเพิ่มเติมว่า จำเลยให้การยืนยันจำคนร้ายได้ พยานโจทก์ทั้งสองปากนี้เบิกความรู้เห็นจากการที่ได้รับฟังมาจากคำให้การของจำเลยจากการสอบสวน ส่วนการชี้ตัวคนร้ายของจำเลยในชั้นสอบสวนนั้น ร้อยตำรวจเอกรณชัยพยานโจทก์ก็จัดให้จำเลยชี้ตัวคนร้าย เพื่อให้เป็นไปตามคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยเท่านั้น จึงมีน้ำหนักน้อยนอกจากนี้โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดสนับสนุนอีกประกอบกับตามพฤติการณ์ที่จำเลยเห็นคนร้ายครั้งแรกก็อยู่ในลักษณะที่จำเลยขับขี่รถจักรยานยนต์วิ่งผ่านมามิได้คอยจดจำลักษณะคนร้ายไว้แต่อย่างใดเพราะขณะนั้นจำเลยขับขี่รถจักรยานยนต์มาตามปกติคงไม่ได้คิดมาก่อนว่าจะถูกคนร้ายพยายามปล้นทรัพย์ตนเลย เมื่อจำเลยเห็นคนร้ายครั้งที่สองก็โดยการที่คนร้ายขี่รถจักรยานยนต์แล่นซ้อนท้ายกันมาและแซงปาดหน้ารถจักรยานยนต์ที่จำเลยขับขี่จำเลยได้รีบหักหน้ารถจักรยานยนต์ของตนกลับหนีไปตามทางเดิม จึงเห็นว่าจำเลยเห็นคนร้ายครั้งที่สองนี้อยู่ในระยะเวลาอันสั้นมากและอยู่ในอาการอันรีบร้อน คงไม่ได้สังเกตจดจำคนร้ายให้ดีเช่นกัน ข้อเท็จจริงจึงเชื่อว่าจำเลยจำคนร้ายไม่ได้แม่นยำ ฉะนั้นที่จำเลยเบิกความต่อศาลว่าจำคนร้ายได้คลับคล้ายคลับคลาจึงเชื่อว่าเป็นจริง เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยว่าจำเลยเบิกความเท็จต่อศาล จึงไม่อาจลงโทษจำเลยได้”
พิพากษายืน