แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ผู้ขายในต่างประเทศกำหนดราคารถยนต์ลดลงจากราคาเดิมที่โจทก์เคยนำเข้ามา เพราะเมื่อโจทก์นำรถยนต์เข้ามาครั้งก่อนโจทก์ขายได้น้อยกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ การลดราคาให้โจทก์ก็เพื่อสนับสนุนการขายของโจทก์ให้มีผู้ซื้อมากขึ้น โดยคำนึงถึงการแข่งขันกับรถยนต์ยี่ห้ออื่นในระดับเดียวกัน ราคาที่ลดลงจึงเป็นราคาที่ผู้ขายในต่างประเทศลดราคาให้เป็นพิเศษเพื่อขายแข่งกับรถยนต์ที่นำเข้ายี่ห้ออื่น ซึ่งเป็นเพียงนโยบายทางการค้าเท่านั้น หาใช่ราคาที่ซื้อขายกันโดยปกติไม่ ราคาดังกล่าวจึงมิใช่ราคาอันแท้จริงในท้องตลาด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2530 และ 31 มีนาคม 2530โจทก์ได้นำชิ้นส่วนรถยนต์กระบะเข้ามาในราชอาณาจักรรวม 8 ใบขนโจทก์ได้สำแดงราคาสินค้าตามราคาอันแท้จริงในท้องตลาดและขอชำระภาษีอากรจากราคาดังกล่าว แต่จำเลยไม่ยอมรับราคาที่โจทก์สำแดงกลับสั่งให้โจทก์วางประกันค่าภาษีอากรเพิ่ม เป็นเงิน 4,161,862.64บาท โจทก์จำต้องนำหนังสือค้ำประกันของธนาคารนครธน จำกัดและของธนาคารทหารไทย จำกัด รวม 8 ฉบับ มาวางเป็นประกันต่อมาเจ้าพนักงานประเมินได้แจ้งการประเมินอากรขาเข้าภาษีการค้าภาษีบำรุงเทศบาลและเงินเพิ่มภาษี รวม 4,161,862.64 บาท แก่โจทก์ โจทก์เห็นว่าการประเมินไม่ถูกต้องจึงอุทธรณ์ต่ออธิบดีกรมศุลกากร ต่อมาจำเลยได้แจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์แก่โจทก์ว่าการประเมินชอบแล้ว สินค้าที่โจทก์นำเข้าเป็นชิ้นส่วนที่ใช้ประกอบเป็นรถยนต์กระบะยี่ห้อนิสสันบิกเอ็ม โจทก์ซื้อจากบริษัทนิสสันมอเตอร์ จำกัด ประเทศญี่ปุ่น การนำเข้าในครั้งแรก ๆโจทก์จำหน่ายได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้มาก เพราะต้นทุนวัสดุและอุปกรณ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศสูงกว่ารถยนต์ยี่ห้ออื่น ทำให้ราคาจำหน่ายรถยนต์ของโจทก์สูงกว่ารถยนต์ยี่ห้ออื่น โจทก์จึงเจรจากับบริษัทนิสสันมอเตอร์ จำกัด ประเทศญี่ปุ่น เพื่อกำหนดราคาสินค้าให้เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจภาวะตลาดและความสามารถในการจำหน่ายแข่งขันกับรถยนต์ยี่ห้ออื่น บริษัทนิสสันมอเตอร์ จำกัดประเทศญี่ปุ่น จึงกำหนดราคาใหม่ให้เหมาะสมและเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดตามที่โจทก์ได้สำแดงไว้ในใบขนสินค้าและชำระค่าภาษีอากรครบถ้วนแล้ว การที่จำเลยประเมินภาษีอากร โจทก์เพิ่มโดยเพิ่มราคาสินค้าเข้าไปคันละ 45,500 เยน โดยไม่คำนึงว่าสินค้าที่โจทก์นำเข้ามีอุปกรณ์เท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้นหรือลดลง จึงไม่เป็นธรรมขอให้ศาลเพิกถอนการประเมินอากรขาเข้า ภาษีการค้า ภาษีบำรุงเทศบาลและเงินเพิ่มของเจ้าพนักงานประเมิน ให้จำเลยคืนหนังสือค้ำประกันของธนาคารนครธน จำกัด และธนาคารทหารไทย จำกัด แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2530 โจทก์นำชิ้นส่วนรถยนต์กระบะจากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาในราชอาณาจักร 1,000 คันโดยยื่นใบขนสินค้า 5 ฉบับ ฉบับละ 200 คัน โจทก์สำแดงราคาซี.ไอ.เอฟ ไว้คันละ 502,594 เยน ซึ่งต่ำกว่าราคาอันแท้จริงในท้องตลาด เพราะเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2529 โจทก์เคยนำสินค้าชนิดเดียวกันนี้เข้ามาในราชอาณาจักรและสำแดงราคา ซี.ไอ.เอฟ ไว้คันละ 548,070 เยน ประกอบกับราคาสินค้าชนิดนี้ไม่มีแนวโน้มจะลดลง ตรงกันข้ามสินค้าชนิดเดียวกับโจทก์มีแหล่งกำเนิดจากประเทศเดียวกันแต่ต่างยี่ห้อ คือชิ้นส่วนรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุโตโยต้าและมาสด้าต่างมีราคาสูงขึ้นเจ้าพนักงานประเมินจึงใช้ราคาที่โจทก์นำเข้าครั้งก่อนเป็นเกณฑ์ในการประเมินราคา สินค้าที่โจทก์นำเข้าครั้งนี้ผู้ผลิตจากต่างประเทศลดชิ้นส่วนลง 8 เยน เพิ่มชิ้นส่วนขึ้น 32 เยน หลังจากหักกลบลบกันแล้ว เจ้าพนักงานประเมินจึงประเมินว่าชิ้นส่วนรถยนต์กระบะที่โจทก์นำเข้าในครั้งนี้ราคา ซี.ไอ.เอฟ คันละ 548,094 เยน ต่อมาวันที่ 31 มีนาคม2530 โจทก์นำสินค้าดังกล่าวเข้ามาในราชอาณาจักรอีก 3 ใบขนสำแดงราคา ซี.ไอ.เอฟ คันละ 499,236 เยน มีการลดชิ้นส่วนลง 3,358 เยนเจ้าพนักงานประเมินได้ใช้ราคาที่โจทก์นำเข้าเมื่อวันที่ 14 กันยายน2529 เป็นเกณฑ์ในการประเมิน เมื่อหักราคาชิ้นส่วนที่ลดลงในการนำเข้าครั้งนี้แล้ว ประเมินว่าราคา ซี.ไอ.เอฟ คันละ 544,736 เยนการประเมินราคาสินค้ารายพิพาททั้ง 8 ใบขน จึงชอบด้วยเหตุผลและกฎหมายแล้ว
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์ซื้อชิ้นส่วนรถยนต์ยี่ห้อนิสสัน รุ่นบิกเอ็มจากบริษัทนิสสันมอเตอร์ จำกัด ประเทศญี่ปุ่น แล้วนำเข้ามาในราชอาณาจักรประกอบเป็นรถยนต์จำหน่ายในประเทศ เมื่อวันที่14 กันยายน 2529 โจทก์นำชิ้นส่วนรถยนต์ดังกล่าวเข้าโดยสำแดงราคาไว้คันละ 548,070 เยน เป็นราคา ซี.ไอ.เอฟ วันที่ 14 มีนาคม 2530 โจทก์นำสินค้าดังกล่าวเข้าอีกโดยเพิ่มชิ้นส่วนมากขึ้นราคา 24 เยน ยืนใบขนสินค้า 5 ฉบับ สำแดงราคาไว้คันละ 502,594 เยน วันที่31 มีนาคม 2530 โจทก์นำเข้าอีก ครั้งนี้ลดชิ้นส่วนลงราคา 3,358 เยนสำแดงราคาคันละ 499,236 เยน เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยได้ประเมินราคาเพิ่มขึ้นเป็นคันละ 548,094 เยน และ 544,736 เยนตามลำดับ คดีมีประเด็นขึ้นมาสู่ศาลฎีกาประเด็นแรกว่า ราคาที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดหรือไม่โจทก์นำสืบว่าราคาที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าทั้ง 8 ฉบับ ถูกต้องตรงกับราคาที่บริษัทนิสสันมอเตอร์ จำกัด ประเทศญี่ปุ่น ขายให้โจทก์ตามที่ระบุในใบยืนยันราคา และเลตเตอร์ออฟเครดิต เป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดส่วนราคาที่โจทก์นำเข้าก่อนหน้านี้ คือเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2529 นั้นสูงเกินไป เป็นเหตุให้ราคาต้นทุนในการผลิตออกจำหน่ายสูงกว่ารถยนต์ยี่ห้ออื่น โจทก์จึงไม่สามารถขายรถยนต์แข่งขันกับรถยนต์ยี่ห้ออื่นในระดับเดียวกันได้ โจทก์จึงขอให้บริษัทนิสสันมอเตอร์ จำกัด ประเทศญี่ปุ่น กำหนดราคาใหม่โดยลดราคาลงมาเพื่อให้ต้นทุนต่ำลงและขายแข่งกับรถยี่ห้ออื่นในระดับเดียวกันได้ บริษัทนิสสันมอเตอร์ จำกัด ประเทศญี่ปุ่นจึงกำหนดราคาใหม่และเป็นราคาที่โจทก์สำแดงในใบขนสินค้าขาเข้าดังกล่าวแล้ว ปัญหาจะต้องวินิจฉัยจึงมีว่าราคาที่บริษัทนิสสันมอเตอร์ จำกัด ประเทศญี่ปุ่น กำหนดใหม่ลดลงจากราคาเดิมนั้นเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดหรือไม่ เห็นว่า การที่บริษัทนิสสันมอเตอร์ จำกัด ประเทศญี่ปุ่น กำหนดราคาลดลงจากราคาเดิมที่โจทก์นำเข้าเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2529 เพราะเมื่อนำเข้าครั้งนั้นแล้วรถยนต์ของโจทก์ขายได้น้อยกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้การลดราคาให้โจทก์ก็เพื่อสนับสนุนการขายของโจทก์ให้มีผู้ซื้อมากขึ้น โดยคำนึงถึงการแข่งขันกับรถยนต์ยี่ห้ออื่นในระดับเดียวกันราคาที่ลดลงดังกล่าวจึงเป็นราคาที่บริษัทนิสสันมอเตอร์ จำกัดประเทศญี่ปุ่น ผู้ขายลดราคาให้เป็นพิเศษเพื่อขายแข่งกับรถยนต์ที่นำเข้ายี่ห้ออื่นซึ่งเป็นเพียงนโยบายทางการค้าเท่านั้น จึงหาใช่ราคาที่ซื้อขายกันโดยปกติไม่ นอกจากนี้ยังปรากฏจากเอกสารหมายจ.1 แผ่นที่ 28 ว่า การขายรถยนต์บรรทุกเล็กในเดือนมกราคม 2530รถยนต์ยี่ห้อนิสสันบิกเอ็ม ราคาขายคันละ 214,000 บาท รถยนต์ยี่ห้อโตโยต้าขายคันละ 219,000 บาท รถยนต์ยี่ห้ออีซูซุขายคันละ216,000 บาท รถยนต์ยี่ห้อมาสด้า ขายคันละ 216,000 บาท แสดงให้เห็นว่าราคาขายรถยนต์ของโจทก์ถูกกว่ารถยนต์ยี่ห้ออื่น ฉะนั้นการขายรถยนต์ของโจทก์ต่ำกว่าเป้าหมายจึงหาใช่เรื่องราคาไม่ ความปรากฏต่อไปตามคำเบิกความของนายปรีชา พงษ์เพ็ชร์ พยานโจทก์ประกอบเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 29 และ 30 ว่า ในระยะที่นำของเข้านั้นเงินเยนมีราคาสูงขึ้น ทำให้โจทก์ต้องชำระราคาชิ้นส่วนเป็นเงินเยนแพงขึ้นแสดงว่าราคาทุนของสินค้าจะต้องสูงขึ้นการลดราคาลงมาจากเดิมจึงมิใช่ราคาต้นทุนที่จะนำมาคำนวณเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดทั้งยังปรากฏด้วยว่าโจทก์เองหาได้ลดราคาขายลงมาไม่ ดังปรากฏจากเอกสารหมาย จ.1แผ่นที่ 28 ว่า ราคาขายรถยนต์ของโจทก์ในเดือนมกราคม 2530 คันละ214,000 บาท เดือนกุมภาพันธ์ คันละ 216,000 บาท เดือนพฤษภาคมคันละ 225,000 บาท เดือนมิถุนายน คันละ 228,000 บาท เดือนกันยายน คันละ 234,000 บาท ดังนี้แสดงว่าราคาต้นทุนหาได้ลดลงไม่ราคาที่บริษัทนิสสันมอเตอร์ จำกัด ประเทศญี่ปุ่น ลดให้แก่โจทก์จึงมิใช่ราคาอันแท้จริงในท้องตลาด หากเป็นการลดให้เป็นพิเศษตามคำขอของโจทก์เพื่อนโยบายทางการค้าของโจทก์เท่านั้นฉะนั้นการที่จำเลยถือเอาราคานำเข้าของโจทก์เมื่อวันที่ 14 กันยายน2529 เป็นเกณฑ์ในการคำนวณประเมินราคาเพื่อเก็บอากรขาเข้าสำหรับชิ้นส่วนรถยนต์กระบะตามใบขนสินค้าทั้ง 8 ฉบับ จึงชอบแล้ว”
พิพากษายืน