คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 186/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

นโยบายทั่วไปเกี่ยวกับสภาพการจ้างอันเป็นระเบียบข้อบังคับของจำเลยกำหนดไว้ว่า พนักงานผู้ซึ่งได้รรับการปลดเพราะเกษียณอายุจะได้รับเงินค่าชดเชยตามกฎหมายซึ่งบริษัท (จำเลย) มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันหรือที่จะมีขึ้นในอนาคตหรือเงินบำเหน็จมีจำนวนเท่ากับเงินเดือนสุดท้ายเป็นมูลฐานการคำนวณหนึ่งเดือนต่อจำนวนหนึ่งปีแห่งการทำงานบริบูรณ์ต่อเนื่องกันทุก ๆ ปี การทำงานให้แก่บริษัทตามแต่จำนวนเงินใดจะมากกว่ากัน โดยบริษัทจะเป็นผู้ออกเงินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้ โจทก์ถูกเลิกจ้างเพราะเหตุเกษียณอายุ จำนวนเงินบำเหน็จมากกว่าค่าชดเชย โจทก์จึงเลือกรับเงินบำเหน็จและลงลายมือชื่อสละสิทธิเรียกร้องค่าชดเชย ดังนี้ ถือไม่ได้ว่าการจ่ายเงินบำเหน็จตามข้อบังคับดังกล่าวมีผลเป็นการจ่ายค่าชดเชยด้วย การสละสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยไม่มีผลใช้บังคับโจทก์ยังมีสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยจากจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างประจำของจำเลยได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๒๑,๙๙๕ บาท เมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๔ จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุเกษียณอายุ โดยไม่จ่ายค่าชดเชย ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน ๑๓๑,๙๗๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยได้จ่ายค่าชดเชยเท่ากับเงินบำเหน็จซึ่งมีจำนวนมากกว่าให้โจทก์แล้วปรากฏตามหลักฐานว่าด้วยผลประโยชน์ในการเลิกจ้างและโจทก์ได้ลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐานรับรองยืนยันว่าจะไม่เรียกร้องสิทธิอื่น ๆ เพิ่มเติม สิทธิและหน้าที่ระหว่างโจทก์จำเลยจึงเป็นอันระงับไป โจทก์มีความเข้าใจอย่างชัดเจนว่าจำเลยมีเจตนาจะจ่ายค่าชดเชยแก่ลูกจ้างของจำเลยให้มากพอกับการยังชีพหลังจากถูกปลดออกจากงานเพราะเกษียณอายุโจทก์ได้รับค่าชดเชยเป็นเงิน ๗๔๗,๘๓๐ บาท ซึ่งเป็นค่าชดเชยมากกว่าที่กฎหมายแรงงานกำหนด จำเลยถือว่าเป็นการจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย ไม่ทำให้ลูกจ้างเสียเปรียบหรือเสียสิทธิขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การจ่ายเงินบำเหน็จของจำเลยไม่มีผลเป็นการจ่ายแทนค่าชดเชย แต่ระเบียบข้อบังคับของจำเลยกำหนดให้โจทก์เลือกค่าชดเชยหรือเงินบำเหน็จซึ่งสูงกว่าค่าชดเชย เมื่อโจทก์แสดงเจตนารับเงินบำเหน็จและสละสิทธิรับค่าชดเชย จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนและเป็นคุณแก่โจทก์ฝ่ายเดียว การแสดงเจตนาดังกล่าวไม่เป็นโมฆะ โจทก์ไม่อาจฟ้องเรียกค่าชดเชยอีกได้ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า นโยบายทั่วไปเกี่ยวกับสภาพการจ้างอันเป็นระเบียบข้อบังคับของจำเลยกำหนดไว้ในข้อ ๒.๗.๓.๔ ว่า “พนักงานผู้ซึ่งได้รับการปลดเกษียณอายุ จะได้รับเงินค่าชดเชยตามกฎหมายซึ่งบริษัท (จำเลย) มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันหรือที่จะมีขึ้นในอนาคตหรือเงินบำเหน็จมีจำนวนเท่ากับเงินเดือนสุดท้ายเป็นมูลฐานการคำนวณหนึ่งเดือนต่อจำนวนหนึ่งปีแห่งการทำงานบริบูรณ์ต่อเนื่องกันทุก ๆ ปีการทำงานให้แก่บริษัท ตามแต่จำนวนเงินใดจะมากกว่ากัน โดยบริษัทจะเป็นผู้ออกเงินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้” โจทก์เป็นลูกจ้างประจำของจำเลยตั้งแต่วันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๘๙ ได้รับเงินเดือนอัตราสุดท้ายเดือนละ ๒๑,๙๙๕ บาท จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุเกษียณอายุเมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๔ โจทก์ได้รับเงินบำเหน็จตามระเบียบข้อบังคับไปจากจำเลยเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๒๓ เป็นเงิน ๗๔๗,๘๓๐ บาท โดยได้ลงชื่อเป็นผู้รับเงินซึ่งเป็นภาษาอังกฤษมีคำแปลเป็นภาษาไทยว่า “ข้าพเจ้าได้รับเงินจากบริษัทลีเวอร์บราเธอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นจำนวนเงิน ๗๔๗,๓๓๐ บาท เป็นเงินทั้งหมดซึ่งบริษัทต้องผูกพันจ่ายให้แก่ข้าพเจ้าซึ่งเป็นเงินผลประโยชน์จากการเลิกจ้างเพราะเกษียณอายุ ข้าพเจ้าขอรับรองยืนยันว่า ไม่ว่ากรณีใด ๆ ก็ตาม ข้าพเจ้าจะไม่เรียกร้องเงินอื่นใดจากบริษัทอีกต่อไป และได้ความว่าการจ่ายเงินบำเหน็จตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยไม่มีผลเป็นการจ่ายแทนค่าชดเชย ตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยกำหนดให้พนักงานที่ถูกเลิกจ้างเพราะเหตุเกษียณอายุได้รับค่าชดเชยหรือเงินบำเหน็จตามแต่จำนวนเงินใดจะมากกว่ากัน โจทก์ถูกเลิกจ้างเพราะเหตุเกษียณอายุ โดยมีอายุการทำงานมากกว่า ๓๐ ปี จำนวนเงินบำเหน็จมากกว่าค่าชดเชย โจทก์จึงมีสิทธิได้รับบำเหน็จตามระเบียบข้อบังคับดังกล่าว หาใช่ได้รับเพราะโจทก์สละสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยไม่ การที่โจทก์ลงชื่อในเอกสารมีข้องความสละสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยจึงถือไม่ได้ว่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนเพื่อให้โจทก์ได้สิทธิรับเงินบำเหน็จอันมีจำนวนมากกว่า การจ่ายค่าชดเชยเป็นหน้าที่ของนายจ้างตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน การไม่ปฏิบัติตามเป็นความผิดทางอาญา ถือว่าเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนเป็นบทบังคับเด็ดขาด ไม่อาจระงับไปด้วยการสละสิทธิของลูกจ้าง เมื่อได้ความว่าการจ่ายเงินบำเหน็จตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยไม่มีผลเป็นการจ่ายค่าชดเชย โจทก์จึงยังมีสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยจากจำเลย ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าการแสดงเจตนาสละสิทธิเรียกร้องของโจทก์เป็นสัญญาต่างตอบแทนและเป็นคุณประโยชน์แก่โจทก์แต่ฝ่ายเดียวไม่เป็นโมฆะ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย โจทก์เป็นลูกจ้างประจำของจำเลยทำงานติดต่อกันเกินสามปีมีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายหนึ่งร้อยแปดสิบวันเป็นเงิน ๑๓๑,๙๗๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันเลิกจ้างตามฟ้อง
พิพากษากลับให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์เป็นเงิน ๑๓๑,๙๗๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๔ จนกว่าจะชำระแก่โจทก์เสร็จ.

Share