แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสองฎีกาโดยอ้างเป็นข้อกฎหมายว่า ตามบทบัญญัติของ พ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 มาตรา 119 ที่แก้ไขแล้ว มีความมุ่งหมายว่าการเทสิ่งของต่าง ๆ ลงในแม่น้ำลำคลองอันจะเป็นเหตุให้เกิดการตื้นเขินหรือตกตะกอน หรือทำให้แม่น้ำลำคลองสกปรกซึ่งโจทก์จะต้องนำพยานมาสืบให้มีข้อเท็จจริงว่า การที่จำเลยที่ 1 เททิ้งขี้เถ้าแกลบลงในแม่น้ำแล้วอันจะเป็นเหตุให้เกิดการตื้นเขินหรือตกตะกอนหรือสกปรกถึงจะครบองค์ประกอบเป็นความผิดแต่โจทก์มิได้นำสืบข้อเท็จจริงดังกล่าว จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิด ดังนี้ ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการมุ่งประสงค์ที่จะให้ฟังว่า การที่จำเลยที่ 1 เททิ้งขี้เถ้าแกลบลงในแม่น้ำน้อยไม่เป็นเหตุให้เกิดการตื้นเขินหรือตกตะกอนหรือทำให้แม่น้ำน้อยสกปรกฎีกาจำเลยทั้งสองจึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคแรก.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 มาตรา 119 ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 50 ลงวันที่ 18 มกราคม 2515 ข้อ 5
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 มาตรา 119 ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 50 ลงวันที่ 18 มกราคม 2515 ข้อ 5 ปรับคนละ 2,000บาท จำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันพิพากษาให้ยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 วรรคหนึ่งส่วนจำเลยที่ 2 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษปรับจำเลยคนละ 2,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกจำเลยทั้งสองฎีกาโดยอ้างเป็นข้อกฎหมายว่า ตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 มาตรา 119ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 50 ลงวันที่18 มกราคม 2515 ข้อ 5 มีความมุ่งหมายว่า การเทสิ่งของต่าง ๆลงในแม่น้ำลำคลองอันจะเป็นเหตุให้เกิดการตื้นเขิน หรือตกตะกอนหรือทำให้แม่น้ำลำคลองสกปรก ซึ่งโจทก์จะต้องนำพยานมาสืบให้มีข้อเท็จจริงว่า การที่จำเลยที่ 1 เททิ้งขี้เถ้าแกลบลงในแม่น้ำแล้วอันจะเป็นเหตุให้เกิดการตื้นเขินหรือตกตะกอนหรือสกปรกถึงจะครบองค์ประกอบเป็นความผิด แต่โจทก์มิได้นำสืบข้อเท็จจริงดังกล่าวจำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดนั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวนแล้วเห็นว่าจำเลยที่ 1 เททิ้งขี้เถ้าแกลบและน้ำมันลงในแม่น้ำน้อยอันเป็นเหตุให้เกิดการตื้นเขินหรือตกตะกอนหรือทำให้แม่น้ำน้อยเกิดความสกปรก ดังนั้นอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองที่อ้างว่าเป็นข้อกฎหมายจึงเป็นการมุ่งประสงค์จะมิให้ศาลอุทธรณ์รับฟังข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากพยานหลักฐานในสำนวน เพื่อที่จะให้ฟังว่า การที่จำเลยที่ 1 เททิ้งขี้เถ้าแกลบลงในแม่น้ำน้อยไม่เป็นเหตุให้เกิดการตื้นเขินหรือตกตะกอนหรือทำให้แม่น้ำน้อยสกปรก ฎีกาจำเลยทั้งสองจึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาจำเลยทั้งสอง.