คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1853/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยลงพิมพ์บทความหมิ่นประมาทโจทก์และ ป. ในครั้งเดียวกันเป็นการกระทำกรรมเดียว เมื่อ ป. ได้ฟ้องจำเลยในความผิดกรรมนี้จนมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (4)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนักเขียนคอลัมน์ประจำในหนังสือพิมพ์รายวัน จำเลยที่ ๒ เป็นบรรณาธิการ ผู้พิมพ์ ผู้โฆษณาหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าว จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรม กล่าวคือ จำเลยที่ ๑ ใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามด้วยการโฆษณาในเอกสารว่า ‘ข่าวใหญ่ของสังคมเมืองหลวงวันนี้น่าจะได้แก่ข่าวจิรภาบุตรีพลโทจวน วรรณรัตน์ กับเจ้าโฉมชบา กำลังหาทนายความทำเรื่องขอหย่าขาดกับประมุท สูตะบุตร ผู้สามีซึ่งมีความสนิทชิดชอบไม่คลายต่อสุภาพสตรีชื่อสุรีย์ พันธ์เจริญขณะเดียวกันมาดามจิรภาตัดสินใจแน่นอนแล้วว่าจะสมรสใหม่กับนักธุรกิจหนุ่มแห่งนครลอสแองเจลิส ชื่อเชาวน์ บูรณสมบัติ ผู้เพิ่งถูกภรรยาชื่อกัณหาประกาศขอหย่าแยกทางเดิน’ ซึ่งมีความมุ่งหมายให้ผู้อื่นหรือบุคคลที่สามเข้าใจว่าโจทก์มีความแตกแยกในครอบครัวถึงขั้นจะหย่าขาดจากสามีเพราะสามีโจทก์ไปติดพันผู้หญิงชื่อสุรีย์ พันธ์เจริญ และจำเลยที่ ๒ ได้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ด้วยการนำเอาข้อความดังกล่าวลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์’ดาวสยาม’ ประจำวันพฤหัสบดีที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๔ หลายครั้ง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๙๑, ๓๒๖, ๓๒๘, ๓๓๒ ยึดและทำลายหนังสือพิมพ์รายวันดาวสยามประจำวันพฤหัสบดีที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๔ ให้โฆษณาคำพิพากษาทั้งหมดลงในหนังสือพิมพ์
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว คดีมีมูล ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
ก่อนสืบพยานโจทก์ โจทก์ถอนฟ้องคดีเฉพาะจำเลยที่ ๒ ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยที่ ๑ ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖, ๓๒๘ ให้ลงโทษตามมาตรา ๓๒๘ จำคุก ๓ เดือน และปรับ ๔,๐๐๐ บาท แต่ให้รอการลงโทษจำคุกไว้ ๒ ปี ตามมาตรา ๕๖, ๕๘ โทษปรับให้บังคับตามมาตรา ๒๙, ๓๐ ให้ยึดและทำลายหนังสือพิมพ์รายวันดาวสยามฉบับประจำวันพฤหัสบดีที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๔ กับให้จำเลยที่ ๑ โฆษณาคำพิพากษาทั้งหมดลงในหนังสือพิมพ์รายวันดาวสยามเป็นเวลา ๗ วันติดต่อกัน ข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ แต่จำเลยที่ ๑ ลงพิมพ์บทความดังกล่าวในหนังสือพิมพ์ในคราวเดียวกัน แม้จะเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์และนายประมุท สูตะบุตร สามีโจทก์ด้วย การกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นกรรมเดียว ไม่ใช่แยกเป็นต่างกรรมต่างวาระกัน เมื่อนายประมุทฟ้องจำเลยที่ ๑ ต่อศาลแขวงธนบุรี ขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ฐานหมิ่นประมาทในคราวเดียวกันนี้ และศาลแขวงธนบุรีได้พิพากษาลงโทษจำเลยที่ ๑ ไปแล้วตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๕๔๘๗/๒๕๒๕ โจทก์จะฟ้องจำเลยในความผิดอันเป็นกรรมเดียวกันนั้นอีกหาได้ไม่ สิทธินำคดีมาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙ (๔) พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์และนายประมุท สูตะบุตร แม้จะได้กระทำในครั้งเดียวกัน ก็เป็นความผิดหลายกรรมขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยที่ ๑ ได้ลงพิมพ์บทความในหนังสือพิมพ์ ‘ดาวสยาม’ ประจำวันพฤหัสบดีที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๔ หมิ่นประมาทโจทก์และนายประมุท สูตะบุตร นายประมุทได้ฟ้องจำเลยที่ ๑ ในความผิดฐานหมิ่นประมาทดังกล่าวต่อศาลแขวงธนบุรี ศาลแขวงธนบุรีพิพากษาลงโทษจำเลยที่ ๑ แล้วตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๕๔๘๗/๒๕๒๕ ของศาลแขวงธนบุรี คดีถึงที่สุดแล้วก่อนที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีนี้
คดีคงมีปัญหาในชั้นนี้เพียงว่า การกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรม ศาลฎีกาเห็นว่า แม้บทความของจำเลยที่ ๑ ที่ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ ‘ดาวสยาม’ ประจำวันพฤหัสบดีที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๔ เป็นข้อความที่หมิ่นประมาทโจทก์และนายประมุท สูตะบุตร ก็ตาม แต่โจทก์และนายประมุทต่างก็ถูกหมิ่นประมาทเพราะการกระทำของจำเลยที่ ๑ ในครั้งเดียวกัน จึงเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียว และหาได้ทำให้เกิดผลเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามที่โจทก์ยกขึ้นเป็นข้อฎีกาไม่ การกระทำผิดดังกล่าว โจทก์และนายประมุทผู้เสียหายมีสิทธิฟ้องคดีร่วมกันหรือเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีเดียวกันหรือแยกกันฟ้องเป็นรายคดีก็ได้ตราบใดที่ศาลยังไม่ได้พิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดนั้น แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่านายประมุทได้ฟ้องจำเลยที่ ๑ ในความผิดซึ่งเกิดจากการกระทำของจำเลยที่ ๑ อันเป็นกรรมเดียวกันนี้ต่อศาลแขวงธนบุรี และได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องนั้นแล้วตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๕๔๘๗/๒๕๒๕ ของศาลแขวงธนบุรี ดังนั้น สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙ (๔) ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share