คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1851/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่พิพาทเป็นที่ดินส่วนที่งอกออกไปจากทางสาธารณะ ย่อมเป็น สาธารณสมบัติของแผ่นดินด้วย เมื่อฟ้องโจทก์แสดงโดยชัดแจ้งว่า ขณะโจทก์ฟ้อง จำเลยเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทอยู่ และที่พิพาท เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์จึงไม่อาจอ้างกรรมสิทธิ์หรือ สิทธิครอบครองที่พิพาทยันจำเลยได้

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลย ทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินเฉพาะส่วนหมายสีม่วงที่ล้ำเส้นหมายสีเขียว ตามแผนที่พิพาท โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “คดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินของโจทก์ด้านทิศตะวันตกติดทางสาธารณะ แต่ที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่ง ของที่งอกทั้งหมดอันงอกออกไปจากทางสาธารณะนั้น โจทก์และจำเลย ทั้งสองต่างก็มิได้ฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังมาดังกล่าวแล้ว ข้อเท็จจริงจึงยุติฟังได้ว่าที่พิพาทเป็นที่ดินส่วนที่งอกออกไปจากทางสาธารณะ ย่อมเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินด้วย เมื่อฟ้องโจทก์แสดงโดยชัดแจ้งว่า ขณะโจทก์ฟ้อง จำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทอยู่และที่พิพาท เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินเช่นนี้ โจทก์จึงไม่อาจอ้างกรรมสิทธิ์หรือ สิทธิครอบครองที่พิพาทยันจำเลยทั้งสองได้ ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกา ที่ ๒๓๙๓/๒๕๒๓ ระหว่างนายเฉลิม ทิมให้ผล โจทก์ นายก้อน จิวะสังข์ จำเลย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดิน บางส่วนของที่พิพาทไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ ฟังไม่ขึ้น ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับไปทั้งสองฝ่าย นอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share