คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1848/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับเงินค่าทนายความส่วนที่ 2 จากเงินที่ได้จากการขายสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ ผู้คัดค้านมีคำสั่งยกคำร้องแต่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้รับเงินค่าทนายความส่วนที่ 2 โดยผู้คัดค้านยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อศาลฎีกานั้น แม้มิใช่เป็นอุทธรณ์คำสั่งซึ่งอยู่ในข้อยกเว้นให้อุทธรณ์ได้ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 มาตรา 24 วรรคสอง แต่ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งรับอุทธรณ์ส่งมาให้ศาลฎีกาแล้ว ทั้งศาลฎีกาพิจารณาแล้วเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมเห็นสมควรรับอุทธรณ์ของผู้คัดค้านดังกล่าวไว้พิจารณาตามมาตรา 26 วรรคสี่
สิทธิในการได้รับชำระหนี้ค่าทนายความเพิ่มเติมในส่วนที่ 2 อัตราร้อยละ 10 ของยอดหนี้ตามฟ้องแต่ละคดีจากกองทรัพย์สินของลูกหนี้นั้น ศาลฎีกาได้มีคำวินิจฉัยแล้วว่า ให้ผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้ค่าทนายความส่วนที่ 2 ดังกล่าวจากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ก็ต่อเมื่อกองทรัพย์สินของลูกหนี้ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีต่างๆ แล้วไม่ว่าโดยวิธีใดจากการดำเนินคดีของผู้ร้องตามสัญญาจ้าง ซึ่งตามทางนำสืบของผู้ร้องไม่ปรากฏว่าหลังจากลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและผู้คัดค้านเข้ามาจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2542 มาตรา 22 แล้ว ผู้คัดค้านได้มอบหมายให้ผู้ร้องเข้ามาช่วยเหลือผู้คัดค้านในการรวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้แต่ประการใด ทั้งเงินที่ได้จากการขายสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ในคดีแพ่งดังกล่าวก็เป็นดำเนินการขายโดยผู้คัดค้านตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้ มิใช่กรณีที่กองทรัพย์สินของลูกหนี้ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งเพิ่มเติมจากการดำเนินคดีของผู้ร้องตามสัญญาจ้าง ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้ค่าทนายความส่วนที่ 2 จากเงินได้จากการขายสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ดังกล่าวแต่อย่างใด

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2543 และมีคำสั่งอนุญาตให้เจ้าหนี้รายที่ 19 ผู้ร้องได้รับชำระหนี้เฉพาะค่าทนายความในส่วนที่ 1 กับเงินทดรองจ่ายแทนลูกหนี้เป็นเงิน 212,320 บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ตามมาตรา 130 (7) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ส่วนที่ขอเกินมาให้ยก ต่อมาศาลฎีกามีคำพิพากษาที่ 4164/2548 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้ค่าทนายความส่วนที่ 2 ในอัตราร้อยละ 10 ของยอดหนี้ตามฟ้องแต่ละคดี รวมจำนวน 20,314,693.08 บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ โดยมีเงื่อนไขว่าให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จำนวนดังกล่าวตามสัดส่วนก็ต่อเมื่อกองทรัพย์สินของลูกหนี้ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีต่าง ๆ แล้วไม่ว่าโดยวิธีใดจากการดำเนินคดีของผู้ร้องตามสัญญาจ้าง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลล่าง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4164/2548 ซึ่งผู้คัดค้านได้จัดทำบัญชีแสดงรายการรับ-จ่ายครั้งที่ 1 โดยกันเงินส่วนแบ่งให้ผู้ร้องไว้แล้วจำนวน 2,545,464.37 บาท ต่อมาวันที่ 17 พฤศจิกายน 2548 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับเงินจำนวนดังกล่าว แต่ผู้คัดค้านมีคำสั่งยกคำร้องโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้มีคำสั่งกลับคำสั่งของผู้คัดค้านให้ผู้คัดค้านจ่ายเงินค่าทนายความส่วนที่ 2 จำนวน 1,828,520.10 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2548 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า เงินที่ได้จากการที่ผู้คัดค้านขายสิทธิเรียกร้องตามคำพิพากษาของลูกหนี้ในคดีแพ่งตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 123 มิใช่เงินที่ลูกหนี้ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาจากการดำเนินคดีของผู้ร้องตามสัญญาจ้าง ทั้งคำขอในส่วนดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2548 เป็นต้นไปจนว่าจะชำระเสร็จ ก็มิได้กำหนดให้เรียกได้ในคำพิพากษาของศาลฎีกาขอให้ยกคำร้อง
ศาลล้มละลายกลางพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้สำหรับค่าทนายความในส่วนที่ 2 ตามคำวินิจฉัยของศาลฎีกาเป็นจำนวน 1,828,520.10 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “ผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับเงินค่าทนายความส่วนที่ 2 จากเงินที่ได้จากการขายสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ ผู้คัดค้านมีคำสั่งยกคำร้อง แต่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้รับเงินค่าทนายความส่วนที่ 2 โดยผู้คัดค้านยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลล้มละลายกลางดังกล่าวต่อศาลฎีกา อุทธรณ์ของผู้คัดค้านดังกล่าวนี้ แม้มิใช่เป็นอุทธรณ์คำสั่งซึ่งอยู่ในข้อยกเว้นให้อุทธรณ์ได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 24 วรรคสอง แต่เห็นว่าศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งรับอุทธรณ์ส่งมาให้ศาลฎีกาแล้ว เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นต้องแก้ไขข้อผิดพลาดเห็นสมควรรับอุทธรณ์ของผู้คัดค้านดังกล่าวไว้พิจารณาตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 26 วรรคสี่ ..มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อไปตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านว่า ผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้ค่าทนายความส่วนที่ 2 จากเงินที่ได้จากการขายสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้หรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติแล้วว่า ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ค้างชำระเป็นค่าทนายความจากการฟ้องและบังคับคดีแพ่งทั้งหมดของผู้ร้องที่ได้ดำเนินการไปแล้วตามสัญญาจ้างในส่วนที่ 1 กับเงินทดรองจ่ายแทนลูกหนี้เป็นเงิน 212,320 บาท ส่วนสิทธิในการได้รับชำระหนี้ค่าทนายความเพิ่มเติมในส่วนที่ 2 อัตราร้อยละ 10 ของยอดหนี้ตามฟ้องแต่ละคดีรวมจำนวน 20,314,693.08 บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้นั้น ศาลฎีกาได้มีคำวินิจฉัยตามคำพิพากษาฎีกาที่ 4164/2548 แล้วว่า ให้ผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้ค่าทนายความส่วนที่ 2 ดังกล่าวจากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ก็ต่อเมื่อกองทรัพย์สินของลูกหนี้ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีต่าง ๆ แล้วไม่ว่าโดยวิธีใดจากการดำเนินคดีของผู้ร้องตามสัญญาจ้าง ซึ่งตามทางนำสืบของผู้ร้องไม่ปรากฏว่าหลังจากลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและผู้คัดค้านเข้ามาจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 แล้วผู้คัดค้านได้มอบหมายให้ผู้ร้องเข้ามาช่วยเหลือผู้คัดค้านในการรวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้แต่ประการใด ทั้งเงินที่ได้จากการขายสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ในคดีแพ่งดังกล่าวเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2546 ก็เป็นการดำเนินการขายโดยผู้คัดค้านตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้ มิใช่กรณีที่กองทรัพย์สินของลูกหนี้ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งเพิ่มเติมจากการดำเนินคดีของผู้ร้องตามสัญญาจ้าง ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้ค่าทนายความส่วนที่ 2 จากเงินได้จากการขายสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ดังกล่าวแต่อย่างใด”
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ

Share