แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าอาคารและที่ดินของโจทก์มีข้อความว่า เช่ามีกำหนด 1 ปี เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแล้ว ถ้าไม่มีการทำสัญญาเช่ากันใหม่ ผู้เช่าจะต้องขนย้ายออกจากที่เช่าภายใน 30 วัน ถ้าไม่ขนย้ายออกไปจะต้องเสียค่าเสียหายเป็นรายวัน ๆ ละ 100 บาท ให้แก่โจทก์ โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันเงินค่าเช่าและค่าเสียหายซึ่งโจทก์จะเรียกร้องจากจำเลยที่ 1 ในการที่ไม่ปฏิบัติตามสัญญาเช่าดังนี้ จำเลยที่ 2 จะบอกเลิกการค้ำประกันเมื่อครบกำหนด 1 ปี โดยไม่ยอมรับผิดในค่าเสียหายที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระเพราะไม่ออกไปจากที่เช่าไม่ได้ เพราะรูปคดีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 699
แม้จะระบุไว้ในสัญญาเช่าว่า เมื่อครบกำหนดสัญญาแล้ว ผู้เช่าไม่ออกไป จะต้องเสียค่าเสียหายผู้ให้เช่าวันละ 200 บาทก็ดี เมื่อศาลเห็นว่าค่าเสียหายสูงไป ก็มีอำนาจกำหนดค่าเสียหายให้แก่ผู้ให้เช่าตามควรแก่พฤติการณ์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนด ๓๖๕๗ และอาคารโรงงานเลขที่ ๓๔๔ เพื่อประกอบอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ทำด้วยยาง อัตราค่าเช่าเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท กำหนด ๑ ปี นับแต่ ๑ มกราคม ๒๕๐๓ เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่า หากผู้เช่าไม่ตกลงเช่าต่อ และไม่ขนย้ายสิ่งของออกจากสถานที่เช่า ผู้เช่าจะต้องเสียค่าเสียหายให้โจทก์วันละ ๒๐๐ บาท จนกว่าจะออกไป ในการนี้จำเลยที่ ๒ ได้ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ ๑ เรื่องค่าเช่าและค่าเสียหายไว้ให้กับโจทก์ บัดนี้ สัญญาเช่าครบกำหนด ๑ ปีแล้ว จำเลยที่ ๑ หาได้ขอต่อสัญญาใหม่ไม่ และยังใช้สถานที่เช่าตลอดมา จึงขอให้ศาลบังคับขับไล่ จำเลยและบริวารออกจากสถานที่เช่า ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหาย ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระ ก็ขอให้บังคับจำเลยที่ ๒ ใช้แทน
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๒ รับว่า ทำสัญญาค้ำประกันไว้กับโจทก์จริง แต่จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดร่วมหรือแทนจำเลยที่ ๑ เพราะจำเลยที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกันแต่เฉพาะค่าเช่าเท่านั้น ซึ่งจำเลยที่ ๑ หาได้ค้างชำระค่าเช่าไม่ และให้การว่า ความเสียหายที่โจทก์ฟ้องเป็นความเสียหายที่เกิดหลังจากวันครบกำหนดสัญญาเช่าแล้ว จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิด ใช่แต่เท่านั้น ในเดือนตุลาคม ๒๕๐๓ ก่อนสัญญาเช่าครบกำหนด จำเลยที่ ๒ ได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าจำเลยที่ ๒ ไม่ประสงค์จะค้ำประกันเมื่อสัญญาเช่าครบกำหนด ๑ ปี และได้ขอเลิกสัญญาค้ำประกันโดยสิ้นเชิงแล้ว จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดตามโจทก์ฟ้อง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ เช่าอาคารและที่ดินของโจทก์ ครบกำหนดแล้วไม่ต่อสัญญา เป็นละเมิดจริง แต่ค่าเสียหายที่โจทก์ขอมาคิดวันละ ๒๐๐ บาทนั้น เป็นการเกินสมควร จึงกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์เท่าจำนวนค่าเช่าในสัญญา คือเดือนละ ๑๐๐ บาท ส่วนจำเลยที่ ๒ นั้นต้องรับผิดต่อโจทก์ในการที่จำเลยที่ ๑ ไม่ขนย้ายและส่งมอบสถานที่เช่าคืนให้โจทก์ตามสัญญาเช่าจนกว่าจำเลยที่ ๑ จะปฏิบัติตามสัญญาเช่าเรียบร้อยบริบูรณ์ทุกข้อ การที่จำเลยที่ ๒ บอกเลิกสัญญาค้ำประกันเมื่อก่อนครบกำหนดการเช่า และโจทก์ไม่ยินยอมนั้น ไม่มีผลให้จำเลยที่ ๒ พ้นจากความรับผิดในฐานะเป็นผู้ค้ำประกัน พิพากษาขับไล่จำเลยที่ ๑ และบริวารออกจากที่เช่า ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายถึงวันฟ้อง ๒ เดือนเป็นเงิน ๒,๐๐๐ บาท และค่าเสียหายเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไป หากจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระ ก็ให้จำเลยที่ ๒ ชำระแทน
โจทก์และจำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ถึงวันฟ้อง ๒ เดือน ๒,๐๐๐ บาท และค่าเสียหายวันละ ๒๐๐ บาท แต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยที่ ๑ และบริวารจะออกไป หากจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระ ก็ให้จำเลยที่ ๒ ชำระแทน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ยกอุทธรณ์จำเลยที่ ๒
จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า ไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ ในความเสียหายรายนี้เพราะเป็นความเสียหายที่เกิดจากจำเลยที่ ๑ กระทำขึ้นภายหลังสัญญาเช่า ครบกำหนดการเช่าแล้ว ทั้งจำเลยที่ ๒ ได้บอกเลิกสัญญาค้ำประกันล่วงหน้า ก่อนสัญญาเช่าจะครบกำหนดอีกด้วย
ศาลฎีกาพิเคราะห์สัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ ๒ ทำไว้กับโจทก์แล้ว ข้อ ๑ มีว่า”ข้าพเจ้าขอค้ำประกันจำนวนเงินค่าโรงงานและที่ดินตลอดจนเงินค่าเสียหายต่าง ๆ ซึ่งผู้ให้เช่าเรียกร้องจากผู้เช่าในการที่ผู้เช่าไม่ปฏิบัติตามสัญญา ฯ ” ข้อ ๒ มีว่า” ถ้าผู้เช่าไม่ชำระเงินค่าเช่า ฯ ผู้ค้ำประกันต้องชำระแทน” ข้อ ๓ มีว่า “ถ้าผู้เช่าเกิดล้มตายหรือหลบหลีกหนีหาย +ค้ำประกันจะเป็นผู้ชดใช้ค่าเช่าโรงงานและที่ดิน และค่าเสียหายต่าง ๆ ที่ผู้เช่าจะต้องชำระให้ผู้ให้เช่าทั้งสิ้น” ส่วนสัญญาเช่าที่จำเลยที่ ๑ ทำไว้กับโจทก์นั้น มีความว่า เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแล้ว ถ้าไม่มีการทำสัญญาเช่าต่อกันใหม่ ผู้เช่าจะต้องขนย้ายเข้าของออกจากที่เช่าภายใน + วัน ถ้าไม่ขนย้ายออกไป ผู้เช่าจะต้องเสียค่าเสียหายเป็นรายวัน ๆ ละ ๑๐๐ บาท ศาลฎีกาเห็นว่า ตามสัญญาเช่าและสัญญาค้ำประกันนี้ ผู้ค้ำประกันนอกจากจะต้องรับผิดในเงินค่าโรงงานและที่ดิน และเงินค่าเช่าโรงงานและที่ดินแล้ว ยังต้องรับผิดในเงินค่าเสียหายต่าง ๆ ที่ผู้เช่าจะ+ชำระให้แก่ผู้ให้เช่าตามสัญญาเช่านั้นอีกด้วย ไม่มีทางให้แปลสัญญาไปในทำนองที่ว่า ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นภายหลังวันครบกำหนดในสัญญาเช่านั้นได้เลย ทั้งสัญญาค้ำประกันก็ไม่มีข้อความระบุค้ำประกันแต่เฉพาะเงินค่าเช่าเท่านั้น จริงอยู่ค่าเสียหายที่โจทก์ฟ้องขึ้นภายหลังวันครบกำหนดสัญญาเช่า แต่ก็เป็นค่าเสียหายที่จำเลยที่ ๑ ผู้เช่าจะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาเช่า ซึ่งจำเลยที่ ๒ ได้ทำสัญญาค้ำประกันสัญญาเช่านั้นไว้ จำเลยที่ ๒ จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ ต่อโจทก์ การที่จำเลยที่ ๒ เคยบอกล่วงหน้าขอเลิกสัญญาค้ำประกันก่อนสัญญาเช่าครบกำหนดนั้น รูปคดีก็ไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๙๙ จึงไม่อาจบอกเลิกสัญญาค้ำประกัน ซึ่งจำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันนั้นอยู่แล้วได้ ฎีกาจำเลยที่ ๒ ฟังไม่ขึ้น
สำหรับค่าเสียหายนั้น คดียังฟังไม่ได้ชัดว่าโจทก์ต้องเสียหายไปเพราะการผิดสัญญาเช่าของจำเลยที่ ๑ เป็นเงินเดือนละ ๖,๐๐๐ บาท ดังที่ฟ้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดความเสียหายให้แก่โจทก์ตามควรแก่พฤติการณ์แห่งคดี ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิจารณายกเหตุผลไว้แล้วนั้น ฎีกาจำเลยที่ ๒ ข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์