คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1835/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยนำสลากกินแบ่งรัฐบาลที่มีการแก้ไขหมายเลขหลักร้อยจากหมายเลข “8” เป็นหมายเลข “0” มาขอรับรางวัลจากผู้เสียหายโดย สลากกินแบ่งดังกล่าวมีร่องรอยการแก้ไขสามารถมองเห็นได้ ด้วยตาเปล่า เป็นการกระทำความผิดฐาน ใช้ เอกสารสิทธิปลอม แต่ เนื่องจากการกระทำของจำเลยเป็นเพียงเพื่อต้องการจะได้ เงินรางวัลเลขท้ายซึ่ง เป็นเงินจำนวนเล็กน้อย มิได้เป็นเรื่องร้ายแรงนัก ทั้ง จำเลยกระทำผิดในขณะที่อายุเพียง 22 ปี เป็นครั้งแรกและขณะ ยังเป็นนักศึกษาอยู่สมควรให้โอกาสจำเลยกลับตัว ประพฤติตน เป็นพลเมืองดี ต่อไป โดย ให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา264, 265, 268 และขอให้ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา268 ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 ให้จำคุก 2 ปีริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ประกอบด้วยมาตรา 265 อนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยไม่ได้กระทำผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ แต่ไม่ได้พิพากษาฟ้องโจทก์สำหรับความผิดฐานนี้เห็นว่าไม่ถูกต้องสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง จึงให้แก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยในชั้นนี้แต่เพียงว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมหรือไม่ สำหรับความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธินั้นคดีเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ปัญหาข้อนี้โจทก์มีนายธงชัย รุ่งธนาพิพัฒน์ ผู้เสียหายพลตำรวจอำนวย สารกูล และนางสาวอัจฉรา ญาโนทัยเป็นพยานผู้เสียหายเบิกความว่า จำเลยได้นำสลากกินแบ่งของกลางมาขายขอรับรางวัลจากหญิงในร้านของผู้เสียหาย ผู้เสียหายได้ตรวจดูพบว่ามีการแก้ไขหมายเลขหลักร้อยหมายเลข “8” เป็นหมายเลข “0” หมายเลขที่ปลอมสังเกตได้ง่ายแม้จะเป็นคนไม่มีอาชีพในการรับซื้อสลากกินแบ่งที่ถูกรางวัล พลตำรวจอำนวยผู้จับกุมจำเลยก็เบิกความว่า ได้เห็นสลากกินแบ่งของกลางมีรอยแก้ไขตรงหมายเลข “0” ชัดเจน ส่วนนางสาวอัจฉราพนักงานสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลมีหน้าที่เป็นผู้ตรวจการปลอมแปลงสลากกินแบ่งรัฐบาลได้ตรวจสลากกินแบ่งของกลางก็ยืนยันว่า สลากกินแบ่งของกลางสามารถเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่าว่ามีการปลอมหมายเลข “0” ที่หลักร้อย เพราะหมายเลขดังกล่าวผิดปกติตัวหนังสือสลากกินแบ่งที่เป็นพื้นขาดหายไปพยานโจทก์ดังกล่าวไม่เคยรู้จักและมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุที่จะระแวงสงสัยว่าจะปรักปรำจำเลย จึงเชื่อได้ว่าพยานโจทก์ดังกล่าวเบิกความไปตามความสัตย์จริงที่ได้เห็นและตรวจพิสูจน์สลากกินแบ่งของกลาง อย่างไรก็ตาม ศาลฎีกาได้ตรวจพิเคราะห์สลากกินแบ่งของกลางแล้ว เห็นว่า การปลอมหมายเลขดังกล่าวหากใช้ความสังเกตเพียงเล็กน้อยก็จะสามารถมองเห็นข้อพิรุธได้โดยภายในหมายเลข “0” ที่ปลอมนั้นเป็นที่สีขาวเพราะถูกขูดลบออกไป ที่ตัวหมายเลข “0” นั้นไม่มนกลมเหมือนกับหมายเลข “0” ในหมายเลขหลักแสนที่มีอยู่ในสลากกินแบ่งของกลางฉบับเดียวกันนั้นซึ่งเป็นข้อแตกต่างกันที่เห็นได้อย่างชัดเจนโดยคนที่มีความรู้สติปัญญาระดับจำเลยเมื่อเห็นแล้วก็จะต้องสังเกตุและทราบได้ทันทีว่าเป็นสลากกินแบ่งปลอม ที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่าจำเลยไม่ได้ตรวจดูสลากกินแบ่งของกลางจึงไม่ทราบว่ามีการปลอมเพราะว่าเมื่อจำเลยได้มาจากนายไข่แล้วจำเลยก็ให้นายสมบูรณ์ เหล่าทองเก็บไว้ เพราะขณะนั้นจำเลยนุ่งผ้าขาวม้าไม่สวมเสื้อผ้าไม่มีที่เก็บนั้น เห็นว่า นายไข่จะเป็นใครอยู่ที่ไหน และที่นำเอาสลากกินแบ่งปลอมมาให้จำเลยนั้นจะมีเจตนาให้เป็นน้ำใจหรือไม่ จำเลยก็ไม่นำมาเบิกความเป็นพยานจำเลย ที่จำเลยว่าจำเลยไม่ได้เก็บสลากกินแบ่งของกลางไว้ ก็ไม่น่าเชื่อเพราะขณะที่จำเลยอ้างว่าได้รับมาจากนายไข่นั้นจำเลยอยู่ที่บ้านของจำเลยเอง จำเลยจะนุ่งผ้าขาวม้ารับประทานอาหารอยู่กับเพื่อน ๆ ในลักษณะเช่นนั้นคงเป็นไปไม่ได้ทั้งไม่เป็นการยากที่จำเลยจะนำสลากกินแบ่งที่นายไข่ให้จำเลยไปเก็บไว้ภายในบ้าน นอกจากนี้ในคืนวันที่จำเลยได้สลากกินแบ่งของกลางมานั้น นางแก้ว เหล่าทอง มารดาของนายสมบูรณ์ก็เบิกความเป็นพยานจำเลยว่านายสมบูรณ์ได้เอาสลากกินแบ่งของกลางมาตรวจดูพร้อมกันกับจำเลยที่จำเลยอ้างว่าไม่เห็นเลขสลากกินแบ่งของกลางและไม่ทราบว่ามีการปลอมหมายเลข “0” จึงไม่มีเหตุผลที่จะรับฟังได้ส่วนในเรื่องที่จำเลยไม่หลบหนีขณะที่ผู้เสียหายเรียกให้พลตำรวจอำนวยมาจับกุมจำเลย เป็นการบ่งชี้ให้เห็นว่าจำเลยไม่ทราบว่าสลากกินแบ่งของกลางปลอมหรือไม่นั้น ได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายว่าเมื่อตรวจพบว่าเป็นสลากกินแบ่งของปลอม ได้เรียกพลตำรวจอำนวยซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามให้มาที่ร้าน ซึ่งพลตำรวจอำนวยก็เบิกความว่า เมื่อผู้เสียหายกวักมือเรียกก็ข้ามถนนไปที่ร้านผู้เสียหาย เห็นได้ว่าเมื่อผู้เสียหายทราบว่าสลากกินแบ่งที่จำเลยนำมาขายเป็นสลากกินแบ่งปลอม ก็ได้เรียกเจ้าพนักงานตำรวจให้มาจับกุมจำเลยในทันที โดยจำเลยยังไม่ทันมีโอกาสที่จะหลบหนี ที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยมีพฤติการณ์ไม่หลบหนีเป็นการบ่งชี้ให้เห็นว่าจำเลยไม่ทราบว่าสลากกินแบ่งของกลางปลอมนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง เกี่ยวกับพฤติการณ์ในการกระทำผิดของจำเลยนั้นเป็นเรื่องการใช้สลากกินแบ่งปลอม เพื่อต้องการจะได้เงินรางวัลเลขท้ายซึ่งเงินจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น จึงมิได้เป็นเรื่องร้ายแรงนักทั้งจำเลยกระทำผิดในขณะที่อายุเพียง 22 ปี เป็นครั้งแรกและขณะยังเป็นนักศึกษาอยู่ จึงเห็นสมควรที่จะให้โอกาสจำเลยกลับตัวประพฤติตนเป็นพลเมืองดีต่อไป จึงให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้โดยให้มีโทษปรับอีกสถานหนึ่ง”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา268 ประกอบมาตรา 265 ให้ลงโทษจำคุกจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลาง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share