คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1835/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ซื้อรับโอนการครอบครองที่ดินมาโดยรู้ว่าที่ดินที่ตนซื้อนั้นเป็นของผู้อื่นไม่ใช่ของผู้ที่โอนขายให้แก่ตน ผู้โอนเป็นแต่เพียงผู้ครอบครองแทนเจ้าของอันแท้จริงเท่านั้น เช่นนี้ผู้รับโอนย่อมจะอ้างการครอบครองปรปักษ์ยันเจ้าของอันแท้จริงหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่นามือเปล่า ๑ แปลงที่จังหวัดสุพรรณบุรี โจทก์ได้เอาไปจำนำไว้กับนางฉุนและให้นางฉุนทำต่างดอกเบี้ย ส่วนโจทก์ย้ายไปอยู่ในจังหวัดพระนคร จำเลยที่ ๑ ได้ลักลอบนำนาแปลงนี้ไปขายให้แก่จำเลยที่ ๒ โดยโจทก์ไม่ทราบ จึงขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่าที่รายพิพาทเป็นของโจทก์ เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสองเสีย ฯลฯ
จำเลยที่ ๒ ให้การว่าโจทก์ได้ยกที่พิพาทให้จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นบุตรเขยโจทก์แล้ว ต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาขายที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ ๒ โจทก์ก็ทราบ จำเลยครอบครองโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมา ๔ ปีแล้ว
ส่วนจำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและชั้นพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสองเสีย ฯลฯ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาไม่เชื่อว่าโจทก์ได้ยกนารายพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๑ และการที่จำเลยที่ ๑ เอานาไปขายให้จำเลยที่ ๒ โจทก์ไม่ได้รู้เห็นยินยอม เมื่อจำเลยที่ ๑ ไม่มีสิทธิ์ในที่พิพาทเช่นนี้ จำเลยที่ ๒ ผู้รับโอนไปโดยรู้ว่าที่นั้นเป็นของโจทก์ ก็ย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าจำเลยที่ ๑ เมื่อจำเลยที่ ๑ ปกครองที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิโจทก์ ฉะนั้นจำเลยที่ ๒ ซึ่งสืบสิทธิมาจากจำเลยที่ ๑ ก็ย่อมอ้างการปกครองปรปักษ์ยันโจทก์ไม่ได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว จึงพิพากษายืน

Share