คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1834/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การฟ้องเรียกค่าเสียหายตามมูลละเมิดประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4 (2) ให้เสนอคำฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขต แต่ถ้าโจทก์จะยื่นคำฟ้องต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้น เมื่อโจทก์ยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องแสดงให้เห็นว่าการพิจารณาคดีในศาลนั้น ๆ จะเป็นการสะดวก ศาลจะใช้ดุลพินิจอนุญาตก็ได้ การพิจารณาจะสะดวกหรือไม่นั้นต้องคำนึงถึงคู่ความและพยานที่เกี่ยวข้องด้วย ตามคำฟ้องคดีนี้ จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ขับรถยนต์โดยสารจากกรุงเทพมหานครมุ่งหน้าไปจังหวัดเชียงใหม่ชนกับรถยนต์ของโจทก์ที่ 2 ที่จังหวัดนครสวรรค์ พยานที่รู้เห็นส่วนใหญ่น่าจะอยู่ในรถยนต์ทั้งสองคัน ซึ่งไม่มีภูมิลำเนาในเขตศาลจังหวัดนครสวรรค์ การพิจารณาคดีที่ศาลจังหวัดนครสวรรค์ส่วนโจทก์ที่ 1 และจำเลยทั้งสี่มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลแพ่ง ดังนั้นการฟ้องคดี การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องการต่อสู้คดีและการพิจารณาที่ศาลแพ่งย่อมเป็นการสะดวกแก่คู่ความอื่นทั้งหมดเว้นแต่โจทก์ที่ 2 ผู้เดียว ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะใช้ดุลพินิจไม่อนุญาตให้ยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดนครสวรรค์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่ว่า กระทำละเมิด เรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสี่ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในกรุงเทพมหานคร โดยยื่นคำร้องขออนุญาตฟ้องต่อศาลจังหวัดนครสวรรค์ อ้างว่า การพิจารณาที่ศาลจังหวัดนครสวรรค์จะเป็นการสะดวกเพราะมีมูลคดีเกิดที่จังหวัดนครสวรรค์และบรรดาพยานหลักฐานของโจทก์อยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดนครสวรรค์เกือบทั้งหมด
ศาลจังหวัดนครสวรรค์มีคำสั่งว่า ยังไม่มีเหตุเพียงพอที่จะอนุญาต ให้ยกคำร้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า การฟ้องเรียกค่าเสียหายกรณีนี้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๔ (๒) ให้เสนอคำฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตแต่ถ้าโจทก์จะยื่นคำฟ้องต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นเมื่อโจทก์ยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องแสดงให้เห็นว่าการพิจารณาคดีในศาลนั้น ๆ จะเป็นการสะดวก ศาลจะใช้ดุลพินิจอนุญาตก็ได้การพิจารณาจะสะดวกหรือไม่นั้น ต้องคำนึงถึงคู่ความและพยานที่เกี่ยวข้องด้วยตามฟ้องคดีนี้จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ขับรถยนต์โดยสารจากกรุงเทพมหานครมุ่งหน้าไปจังหวัดเชียงใหม่ชนกับรถยนต์ของโจทก์ที่ ๒ ที่จังหวัดนครสวรรค์พยานที่รู้เห็นส่วนใหญ่น่าจะอยู่ในรถยนต์ทั้งสองคัน ซึ่งไม่มีภูมิลำเนาในเขตศาลจังหวัดนครสวรรค์ การพิจารณาคดีที่ศาลจังหวัดนครสวรรค์ย่อมไม่สะดวกแก่พยาน นอกจากนี้ในชั้นตรวจรับคำฟ้องก็ปรากฏว่า โจทก์ที่ ๒ แต่ผู้เดียวมีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดนครสวรรค์ส่วนโจทก์ที่ ๑ และจำเลยทั้งสี่มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลแพ่ง ดังนั้น การฟ้องคดี การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง การต่อสู้คดีและการพิจารณาที่ศาลแพ่งย่อมเป็นการสะดวกแก่คู่ความอื่นทั้งหมด เว้นแต่โจทก์ที่ ๒ ผู้เดียว ที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจไม่อนุญาตให้ยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดนครสวรรค์นั้น ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share