แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยฟันผู้เสียหายหลายทีด้วยมีดโต้ปลายตัด แต่ฟันด้วยอาการฉุกละหุกดิ้นรนต่อสู้ แม้ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บหลายแห่งถึงสาหัสแต่เมื่อพิจารณาถึงโอกาสที่จำเลยจะเลือกฟันทำร้ายประกอบกับลักษณะบาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับ ก็ไม่ปรากฏว่าอาจทำให้ถึงตายได้แล้วยังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า คงฟังว่าจำเลยทำร้ายผู้เสียหายถึงอันตรายสาหัสเท่านั้น
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องมีใจความว่า เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2511 จำเลยทั้งสี่นี้ได้ร่วมกันมีมีดเป็นอาวุธ ฟันนักโทษชายทม จิตรวิมล ถูกบริเวณร่างกายหลายแห่งถึงอันตรายสาหัส โดยมีเจตนาฆ่า แต่นักโทษชายทม จิตรวิมล รักษาทันท่วงทีจึงไม่ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลย เหตุเกิดที่ตำบลและอำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก จำเลยทั้งหมดต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกอยู่มากระทำผิดคดีนี้อีก จึงขอให้ลงโทษและเพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 83, 295, 297, 92, 93 กับขอให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีซึ่งกำลังรับอยู่นั้น และริบมีดของกลาง
จำเลยที่ 1 ว่าได้ทำร้ายผู้เสียหายจริง แต่ไม่มีเจตนาฆ่า ส่วนจำเลยนอกนั้นปฏิเสธ เว้นแต่ข้อเคยต้องโทษและรับโทษอยู่ตามฟ้องรับว่าจริง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวได้ทำร้ายผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่า มีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 ระวางโทษจำคุก 10 ปี เพิ่มโทษตามมาตรา 93 กึ่งหนึ่ง เป็นจำคุก 15 ปี ลดให้ในฐานะรับสารภาพหนึ่งในสามคงเหลือจำคุก 10 ปี ของกลางริบ นับโทษต่อให้ตามขอ สำหรับจำเลยที่ 2, 3 และ 4 ให้ยกฟ้องโจทก์
จำเลยที่ 1 ผู้เดียวอุทธรณ์ว่าไม่มีเจตนาฆ่า
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการทำร้ายจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส ไม่ใช่พยายามฆ่าพิพากษาแก้ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 จำคุก6 ปี เพิ่มโทษกึ่งและลดให้อีกหนึ่งในสามคงเหลือโทษจำคุกจำเลยที่ 1หกปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า ตามข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยทั้งสี่และผู้เสียหายต่างเป็นนักโทษเด็ดขาดถูกจำคุกอยู่ในเรือนจำกลางจังหวัดพิษณุโลกตอนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 และผู้เสียหายเกิดขัดใจกันเรื่องการทำงาน จำเลยที่ 1 ได้ชักมีดโต้ปลายตัดออกจากม้วนเสื่อที่ตนถืออยู่เข้าฟันผู้เสียหายขณะที่ผู้เสียหายเดินไปยังนักโทษอีกคนหนึ่ง ผู้เสียหายเข้าประชิดเพื่อหลบมีดจำเลยพร้อม ๆ กันจำเลยที่ 1 ก็หวดมีดฟันลงมาถูกที่ท้ายทอยผู้เสียหายเป็นแผล จำเลยที่ 1 เงื้อมีดฟันผู้เสียหายอีก 1 ทีที่ใบหูซ้ายและไหปลาร้าเป็นแผล ผู้เสียหายเข้าประชิดตัวจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ตวัดมีดสวนมาถูกรักแร้ผู้เสียหาย จากนั้นจำเลยที่ 1 กระโดดถอยห่างใช้มีดฟันอีก 1 ครั้ง ผู้เสียหายยกมือซ้ายขึ้นรับคมมีดถูกบริเวณหน้าแขนซ้ายเป็นบาดแผล แล้วมีคนช่วยจับแยกตัวจำเลยที่ 1 ออกไป ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บที่หน้าแขนซ้ายแผลยาวประมาณ 10 เซนติเมตร ลึก 3 เซนติเมตร ที่บริเวณไหปลาร้าซ้าย รักแร้ซ้าย และใบหูซ้ายยาวประมาณ 3, 2 และ 1 เซนติเมตรตามลำดับ ลึกประมาณ 1 เซนติเมตร ที่บริเวณท้ายทอยยาวประมาณ 3 เซนติเมตรลึก 1-2 เซนติเมตร แพทย์ลงความเห็นว่ารักษาประมาณ 50 วันหาย ผู้เสียหายรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 1 เดือนเศษ แล้วถูกส่งตัวไปรักษาตัวที่เรือนจำกลางจังหวัดราชบุรี อีก 1 เดือนเศษ เช่นนี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามพฤติการณ์ของจำเลยและผู้เสียหายดังกล่าวแสดงว่า จำเลยที่ 1 ได้ฟันผู้เสียหายโดยฉุกละหุก ฟันครั้งแรกถูกแขนซ้ายซึ่งไม่เป็นที่สำคัญ ส่วนการฟันครั้งต่อมาเมื่อจำเลยถูกจับตัวกำลังเคลื่อนไหวดิ้นรนอยู่ ย่อมไม่มีโอกาสเลือกฟันทำร้ายผู้เสียหายได้ สำหรับบาดแผลผู้เสียหายก็ไม่ได้ความว่าอาจทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ เพียงเท่านี้ยังฟังไม่ได้ถนัดว่า จำเลยฟันทำร้ายผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่า คงฟังได้ว่าจำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายสาหัสเท่านั้น
พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกอุทธรณ์โจทก์