คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1827/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดฐานชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่ายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 และลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 จึงมีผลเท่ากับว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาปล้นทรัพย์โดยอาศัยข้อเท็จจริงโจทก์จึงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองสำหรับข้อหาปล้นทรัพย์ไม่ได้คงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้เฉพาะข้อหาชิงทรัพย์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษากลับกันมาเท่านั้น และที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานปล้นทรัพย์นั้น ถือได้ว่าเป็นฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองในข้อหาชิงทรัพย์ด้วยแล้ว เพราะการกระทำผิดฐานชิงทรัพย์เป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานปล้นทรัพย์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกอีก ๑ คนที่หลบหนีร่วมกันพาอาวุธมีดคัตเตอร์และไม้ปลายแหลมไปบนรถยนต์โดยสารประจำทางและตามถนนสุขุมวิทโดยไม่มีเหตุสมควร แล้วร่วมกันปล้นทรัพย์สร้อยคอทองคำ ปากกา และเงินสดของผู้เสียหายทั้งสอง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐, ๓๗๑, ๙๑, ๘๓ ที่ได้แก้ไขแล้ว ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ส่วนที่ผู้เสียหายยังไม่ได้รับคืน ริบมีดคัตเตอร์และไม้ของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๙ วรรคสอง, ๓๗๑ ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๔ (ที่ถูกเป็นมาตรา ๗๖) จำคุกจำเลยทั้งสองฐานชิงทรัพย์คนละ ๖ ปี ๘ เดือน และปรับฐานพาอาวุธไปในเมืองหมู่บ้านทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรคนละ ๖๐ บาท ริบมีดและไม้ของกลาง และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหายตามที่โจทก์ขอ ส่วนข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง จำเลยที่ ๒ ไม่ผิดฐานปล้นทรัพย์ แต่มีไม้ปลายแหลมและตบหน้าผู้เสียหาย พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๗๑, ๓๙๑ ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๔ (ที่ถูกเป็นมาตรา ๗๖) ปรับจำเลยที่ ๒ ฐานพาอาวุธ ๖๐ บาท ฐานทำร้ายร่างกาย ๓๐๐ บาท ริบไม้ปลายแหลมของกลาง ข้อหาอื่นให้ยก และให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๑ คืนมีดคัตเตอร์แก่เจ้าของ
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามฟ้อง และริบมีดคัตเตอร์ของกลาง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับความผิดในข้อหาปล้นทรัพย์ตามฟ้องนั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองในข้อหาชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๙ วรรคสอง แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๑ และคงลงโทษจำเลยที่ ๒ ฐานทำร้ายร่างกายไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๑ จึงมีผลเท่ากับว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาปล้นทรัพย์โดยอาศัยข้อเท็จจริง โจทก์จึงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองสำหรับข้อหาดังกล่าวไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๐ คงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้เฉพาะข้อหาชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๙ วรรคสอง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษากลับกันมาเท่านั้น และตามฎีกาของโจทก์ถือได้ว่าเป็นฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองในข้อหาชิงทรัพย์ด้วยแล้ว เพราะการกระทำผิดฐานชิงทรัพย์เป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานปล้นทรัพย์
แล้วศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังว่า จำเลยที่ ๑ กระทำผิดฐานพาอาวุธและจำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์และเมื่อจำเลยที่ ๒ มีความผิดฐานชิงทรัพย์แล้วจำเลยที่ ๒ ก็ไม่มีความผิดฐานทำร้ายร่างกายอีก
พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๙ วรรคสองที่แก้ไขแล้ว และจำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๗๑ ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๖ จำคุกคนละ ๖ ปี ๘ เดือน และลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ ให้จำเลยที่ ๑ หนึ่งในสี่และจำเลยที่ ๒ หนึ่งในหก เป็นจำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๕ ปี จำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๕ ปี ๖ เดือน ๒๐ วัน และปรับจำเลยที่ ๑ ฐานพาอาวุธปืน ๖๐ บาท รวมโทษจำเลยที่ ๑ จำคุก ๕ ปี ปรับ ๖๐ บาท และรวมโทษจำเลยที่ ๒ จำคุก ๕ ปี ๖ เดือน ๒๐ วัน ปรับ ๖๐ บาท ริบมีดคัตเตอร์ของกลาง ให้จำเลยทั้งสองคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ (ส่วนที่ยังขาดอยู่)แก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share