คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1826/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้ตายลากจำเลยเข้าไปในป่าข้างทางเพื่อจะข่มขืนและขู่ว่าจะฆ่าจำเลยจึงใช้มีดแทงผู้ตายที 1 แล้วทั้งจำเลยและผู้ตายต่างวิ่งออกมาจากที่เกิดเหตุห่างประมาณ 100 เมตร แล้วจึงเกิดปลุกปล้ำกัน โดยผู้ตายพยายามแย่งมีดจากจำเลยเพื่อทำร้ายจำเลยจำเลยจึงแทงผู้ตายอีกหลายที เช่นนี้ถือว่าภยันตรายยังไม่หมดไปการที่จำเลยซึ่งเป็นหญิงและอยู่ในภาวะเช่นนั้นใช้มีดแทงผู้ตายจึงเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ใช้มีดปลายแหลมแทงนายสาย รัตนรวมมาลาผู้ตายหลายทีโดยเจตนาฆ่า
จำเลยให้การรับว่า ใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายจริง แต่ต่อสู้ว่ากระทำไปเพื่อป้องกันตัว
ศาลชั้นต้นฟังว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยกระทำไปโดยบันดาลโทสะ พิพากษากลับให้ลงโทษจำคุกจำเลย 4 ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง นายสาย รัตนรวมมาลา ผู้ตายได้ฉุดจำเลยเข้าไปในป่าข้างทางแล้วปลุกปล้ำจะข่มขืนกระทำชำเราจำเลยจำเลยได้ใช้อาวุธมีดปลายแหลมของกลางที่นำติดตัวมาแทงผู้ตายที่บริเวณหน้าอก 1 ที หลังจากนั้นทั้งผู้ตายและจำเลยต่างวิ่งออกมาจากที่เกิดเหตุห่างจากที่จำเลยแทงผู้ตายครั้งแรกประมาณ 100 เมตร จำเลยได้ใช้มีดปลายแหลมของกลางแทงผู้ตายอีกหลายครั้ง เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายในวันเกิดเหตุ ปรากฏบาดแผลตามรายงานการชันสูตรพลิกศพของแพทย์ท้ายฟ้อง ปัญหามีว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวหรือไม่ คดีนี้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานเห็นเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุศาลฎีกาเห็นว่าการที่จำเลยแทงผู้ตายครั้งแรกที่บริเวณหน้าอก ในขณะที่ผู้ตายใช้มีดปิดปากและบีบคอจำเลยเพื่อข่มขืนกระทำชำเรานั้น เป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ ปัญหาต่อไปมีว่าการที่จำเลยแทงในตอนหลังเป็นการป้องกันตัวดังที่จำเลยนำสืบหรือไม่ จำเลยนำสืบว่าหลังจากจำเลยแทงผู้ตายครั้งแรกแล้ว จำเลยได้วิ่งหนีกลับไปทางเดิมผู้ตายวิ่งตามแซงขึ้นหน้าจำเลยแล้วล้มลงเมื่อจำเลยวิ่งมาถึง ผู้ตายใช้เท้าถีบจำเลยล้มลงแล้วเกิดปลุกปล้ำต่อสู้กัน ผู้ตายจับข้อมือจำเลยถือมีด จ่อมีดที่อกจำเลยจะแทงจำเลย จำเลยดิ้นสุดกำลังจนมือที่จับข้อมือจำเลยหลุด แล้วจำเลยจึงแทงผู้ตายหลายทีเพื่อป้องกันตัวซึ่งพันตำรวจตรีจรูญ เหลาะโต๊ะหมัน พนักงานสอบสวนพยานโจทก์ก็เบิกความเจือสมคำจำเลยว่าขณะเข้ามอบตัวจำเลยให้การรับว่าแทงผู้ตายเนื่องจากผู้ตายลากจำเลยเข้าไปในป่าข้างทางเพื่อจะข่มขืนจำเลยและขู่จะฆ่าจำเลย จำเลยจึงใช้มีดแทงผู้ตาย 1 ที ผู้ตายวิ่งไปทางบ้านจำเลย จำเลยวิ่งไปทางเดียวกับผู้ตาย ผู้ตายล้มลงที่ทางแคบคิดว่าจำเลยจะทำร้ายผู้ตาย ผู้ตายจึงใช้เท้าถีบทำร้ายจำเลยและเกิดปลุกปล้ำกัน จำเลยจึงแทงผู้ตายอีกหลายที และจากลักษณะบาดแผลแสดงว่ามีการดิ้นรนทั้งยังได้ความจากคำเบิกความของนายไสวรัตนบุตรศรี ผู้ใหญ่บ้านพยานโจทก์ว่าผู้ตายยเป็นหนุ่มแข็งแรงจากข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงเชื่อว่าจำเลยแทงผู้ตายในตอนหลังเนื่องจากเกิดการปลุกปล้ำกันและผู้ตายพยายามแย่งมีดจากจำเลยเพื่อทำร้ายจำเลย จึงเห็นได้ว่าภยันตรายยังไม่หมดไป การที่จำเลยซึ่งเป็นหญิงและอยู่ในภาวะเช่นนั้นใช้มีดแทงผู้ตาย เป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุไม่มีความผิด ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น”.

Share