แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาจ้างระหว่างโจทก์จำเลยมีกำหนดระยะเวลาจ้าง 1 ปี โดยระบุวันที่เริ่มต้นและสิ้นสุดแห่งสัญญาไว้ และเมื่อสัญญาครบกำหนดแล้วโจทก์จำเลยก็ทำสัญญากันใหม่ปีต่อปี ดังนี้ต้องถือว่าสัญญาจ้างแรงงานนี้เป็นการจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างเป็นปี ๆ ไป โจทก์จะขอให้นับอายุการทำงานของโจทก์ด้วยการนำระยะเวลาการจ้างในสัญญาทุกฉบับมารวมคำนวณเข้าด้วยกันเพื่อคำนวณค่าชดเชยหาได้ไม่.
ย่อยาว
โจทก์ทุกสำนวนฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างประจำต่อมาจำเลยสั่งพักงานโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 7 โดยไม่มีกำหนดและไม่จ่ายค่าจ้างและมีคำสั่งให้โจทก์ที่ 8 ออกจากงาน ถือว่าเป็นการเลิกจ้างโดยโจทก์ไม่มีความผิดขอให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เมื่อสัญญาจ้างระหว่างโจทก์จำเลยสิ้นสุดจำเลยจึงสั่งพักงานบุคคลากรบางส่วน โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเนื่องจากสัญญาจ้างมีกำหนดระยะเวลาแน่นอนและโจทก์ทำงานไม่ครบปี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 ยกฟ้องโจทก์ที่ 5 ถึงที่ 8
โจทก์ทั้งแปดอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า คู่ความรับกันว่าสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์จำเลยมีลักษณะตามตัวอย่างสัญญาจ้างที่โจทก์ส่งศาลและเมื่อครบกำหนดแล้วจะทำสัญญาจ้างกันใหม่ปีต่อปี ฉบับสุดท้ายทำเมื่อเดือนเมษายน 2530 มีกำหนดเวลา 1 ปีความในข้อ 1 แห่งสัญญาฉบับสุดท้ายจึงมีข้อความตามตัวอย่างสัญญาจ้างที่ส่งศาล คือได้ระบุไว้ชัดว่าจำเลยตกลงรับโจทก์เข้าเป็นผู้สอนในวิทยาลัยคณาสวัสดิ์ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2530เป็นต้นไป ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2531 และโจทก์ตกลงว่าจะทำงานให้จำเลยไปตลอดจนครบระยะเวลาที่กำหนดนี้ แสดงให้เห็นว่าจำเลยตกลงจ้างโจทก์โดยมีกำหนดระยะเวลาจ้างรวมทั้งวันที่เริ่มต้นและสิ้นสุดแห่งสัญญาไว้ สัญญาจ้างดังกล่าวจึงเป็นสัญญาจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอน คือมีกำหนด 1 ปี และในทางปฏิบัติเมื่อสัญญาฉบับเดิมครบกำหนดแล้ว โจทก์จำเลยก็ทำสัญญากันอีกปีต่อปีไป กรณีจึงต้องถือว่าสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์จำเลยเป็นการจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างเป็นปีๆไป อายุการทำงานของโจทก์จึงต้องถือตามระยะเวลาการจ้างตามที่ระบุไว้ในสัญญาแต่ละฉบับ โจทก์จะขอให้นับอายุการทำงานแต่ละฉบับมารวมคำนวณติดต่อกันหาได้ไม่
พิพากษายืน.